เทศนา
กำลังแห่งศรัทธา
 

          พวกท่านปฏิบัติธรรมกันเป็นอย่างไรบ้าง สนุกไหม รัศมีของพวกท่านเรืองรองแล้ว แต่อาตมาไม่รู้ว่าพวกท่านจะรักษามันได้นานแค่ไหน ตอนที่พวกท่านตั้งใจปฏิบัติ ร่างกายพวกท่านจะปกคลุมด้วยแสงที่เรืองรองส่องออกมาจากใจที่ตั้งมั่น

      ในสมัยก่อน บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าที่ได้ศึกษาบำเพ็ญและได้รับพระพรจากพระพุทธองค์ต่างมีรัศมีเรืองรองรอบตัวโดยธรรมชาติ แสงของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปแล้วแต่บุญ โชคชะตาและระดับการบำเพ็ญของแต่ละคน ประสบการณ์ภายในของเหล่าสาวกนี้ถูกแสดงออกมาเป็นภาพโดยจิตรกร พวกเราจึงเห็นรูปภาพพระพุทธเจ้ามีรัศมีเรืองรองรอบพระวรกาย

    แท้จริงแล้ว พวกเราทุกคนมีรัศมีกันทั้งนั้น แต่ว่าผู้คนสมัยนี้ต่างมองออกไปยังโลกวัตถุภายนอกแทนที่จะมองเข้ามาภายในทางด้านจิตวิญญาณ แล้วก็ถูกปกคลุมโดยอวิชชาที่สมองสร้างขึ้นจากความทะเยอทะยาน ความโลภ ความเกลียดชัง ความหลง อคติเก่าๆ ความอิจฉาริษยาของมนุษย์เราจะปิดกั้นรัศมีของเราไม่ปล่อยให้ออกมา มนุษย์เรามัวแต่มองสิ่งต่างๆเหล่านี้จนลืมมองเข้ามาข้างในตัวเอง ด้วยเหตุนั้น ถ้ามนุษย์ถูกปลดปล่อยจากอวิชชาที่ปกคลุมหลายชั้น รัศมีก็จะส่องแสงออกมาโดยอัตโนมัติ

       เหมือนเมื่อพวกท่านเปิดไฟ บ้านทั้งหลังก็จะสว่างไสว แต่ถ้าท่านปิดประตูหน้าต่างและเอาผ้าม่านลง จากข้างนอกพวกท่านก็จะไม่เห็นอะไร บ้านก็เป็นเหมือนเกราะที่หุ้มด้วยปูน ทราย หิน แต่เมื่อพวกท่านดึงผ้าม่านขึ้น พวกท่านก็จะเห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่งจากภายในบ้าน ในทำนองเดียวกัน มนุษย์เรามีแสงสว่างอยู่ภายในตัวอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะตัวท่านเองที่ปิดตาแห่งปัญญาของตัวเอง ทำให้เห็นแต่ความมืด พอจิตใจผ่อนคลาย ปราศจากอคติทั้งหลาย เมื่อนั้นแสงภายในของท่านจะเปล่งออกมาโดยธรรมชาติ ไม่ได้รับจากใครอื่น ดังนั้น พวกท่านควรเปิดใจเพื่อรับพลังอันยิ่งใหญ่จากจักรวาลสู่พวกท่าน

       พระพุทธะแห่งยุคปัจจุบันเป็นแสงอันไร้ขอบเขต ที่จะส่องแสงไปทั่วทุกหนแห่งที่ท่านย่างก้าวไปโดยธรรมชาติ  ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แสงจะส่องไปทั่วทุกมุมโลกอยู่ตลอด  เฉกเช่นเมื่อตะวันทอแสง ความมืดมนจะถูกขจัดออกไป มีบางแห่งที่แสงไม่สามารถส่องไปถึงเนื่องจากกรรม ณ พื้นที่แห่งนั้น แต่ทว่า แสงก็ยังอยู่ที่นั่น ไม่ไปไหนจนกว่ากรรมจะถูกชำระล้างจนหมดสิ้น แล้วแสงจะไปถึงที่แห่งนั้น สำหรับผู้ที่ได้รับแสงสว่างแล้วจะกลายเป็นผู้รู้แจ้ง

     พระพุทธะแห่งยุคปัจจุบันเป็นมหาสมุทรแห่งความรัก ความเมตตา เป็นแหล่งกำเนิดชีวิต เป็นลมหายใจของทุกสรรพสัตว์ พลังแห่งแสงสว่างปรากฏอยู่ภายในสรรพสัตว์ทั้งมวลเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและขับไล้ความมืดมนและอวิชชาที่อยู่ในตัวตน

        พระพุทธะแห่งยุคปัจจุบันเป็นที่เคารพยกย่องอย่างสูงในประเทศอินเดีย ดวงตาของท่านมีพลังเช่นเดียวกับดวงไฟเป็นพันๆดวง ไม่ว่าท่านจะทอดสายตาไปทางใดก็ตาม พลังแห่งแสงสว่างและความรักจะไปถึงที่นั่น ปัดเป่ากรรมทั้งหลายออกไป และนำเอาบรรยากาศแห่งสันติภาพเข้าไปแทน เมื่อมือของท่านสัมผัสสิ่งใด ก็จะล้างกรรมออกไป ท่านจะปลดปล่อยความเจ็บปวดและโชคชะตาอันเลวร้ายแก่ทุกสรรพสัตว์ที่ท่านประสบพบเจอไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนก็ตาม

          นักบวชที่อยู่กับพระอาจารย์มาเป็นเวลานานบางครั้งไม่อาจรับพลังเหล่านี้ได้เพราะพวกเขาไม่อาจซึมซับได้หมด แต่สำหรับผู้ที่นั่งสมาธิดีและมีจิตใจที่บริสุทธิ์อ่อนโยนสามารถอยู่ใกล้ๆพระพุทธะได้ พวกท่านไม่ควรทำให้สมองสร้างปัญหา อย่างเช่น คิดว่า “ฉันควรเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น” แล้วพวกท่านจะถูกอัตตาครอบงำ และถูกตัวเองกักขังไม่ให้เป็นอิสระ ผู้ศึกษาบำเพ็ญควรละทิ้งอัตตาและใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

        ดังเช่นในประเทศเวียดนาม ผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลไม่รู้ว่าจะพูดจาให้นุ่มนวลได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนเช้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งดูหน้าตาเหนื่อยๆเพราะอดนอนเมื่อคืน พวกเขาก็จะทักว่า “วันนี้หน้าตาเธอดูดำมืดเลยนะ” แทนที่จะพูดดีๆอย่างเช่น “เธอดูเหนื่อยๆนะวันนี้ ไม่สบายหรือเปล่า?”

      เมื่อก่อนตอนที่พระอาจารย์อายุ 16 ปี มีเด็กผู้หญิงชาวเวียดนามที่อายุไล่เลี่ยกันเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกับพระอาจารย์ เธอดูสวยมาก อ่อนหวาน เงียบๆ สง่างามเหมือนเด็กสาวเอเชีย ทุกเช้าพอเธอเจอพระอาจารย์เธอทักพระอาจารย์อย่างนุ่มนวล ส่วนมากเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนจะเคารพพระอาจารย์เพราะพวกเธอรู้ว่าพระอาจารย์เป็นผู้ปฏิบัติธรรมและทานมังสวิรัติตลอด

         วันหนึ่ง พระอาจารย์ได้นั่งใกล้ๆโต๊ะของเธอในโรงอาหารตอนพักกลางวัน แต่เธอไม่เห็นพระอาจารย์ เธอนั่งคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน ใช้คำพูดหยาบคาย นั่งเอาขาขึ้นบนโต๊ะข้างหนึ่งแล้วก็แคะจมูกเหมือนพวกแก๊งอันธพาล พระอาจารย์นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงสวยๆอ่อนหวานจะพูดจาหยาบคายและทำกริยาที่ไม่สุภาพเช่นนั้น ทำให้พระอาจารย์ช็อคไปเลย นี่แหละ เหมือนที่สุภาษิตเวียดนามที่ว่า “อย่าตัดสินคนจากเปลือกนอก”

     พวกท่านไม่สามารถตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อพวกท่านดูภาพยนตร์ พวกท่านก็รู้สึกว่านักแสดงสวมบทตัวละครที่สวย สนุกสนานร่าเริง ตลก แต่เบื้องหลังพวกเขาอาจมีชีวิตแสนเศร้าอาบน้ำตา พอเล่นละครจบ พวกเขาก็กลับไปสวมบทบาทในชีวิตจริง 

         พวกท่านไม่เห็นชีวิตจริงของสรรพสัตว์ แต่พระอาจารย์ใช้ตาแห่งปัญญามองเห็นทะลุเข้าไปภายในตัวท่าน ดังนั้น ถ้าพวกท่านมีปัญหาในการบำเพ็ญ พระอาจารย์ก็จะให้คำแนะนำได้ทันที มีบางคนที่ไม่ฟังพระอาจารย์เพราะว่าพวกเขายังเห็นสิ่งดีๆที่อยู่ต่อหน้า แต่พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังกำแพงนั้น

          พระอาจารย์จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับศรัทธาให้ฟังเรื่องหนึ่ง

        มีพระพุทธะผู้หนึ่งเดินทางไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งและรู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะต้องประสบกับภัยพิบัติ ท่านจึงบอกทุกคนในหมู่บ้านว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าหมู่บ้านนี้กำลังจะพบกับภัยพิบัติ เชื่อข้าพเจ้าเถอะ!”

            ชาวบ้านถามว่า “ท่านเป็นใคร มาจากไหน ทำไมพวกเราจึงควรเชื่อท่าน?”
       พระพุทธะตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้บังคับให้พวกท่านเชื่อข้าพเจ้า แต่ถ้าพวกท่านเชื่อข้าพเจ้า นั่นหมายความว่าพวกท่านเชื่อตัวพวกท่านเอง”
            ชาวบ้านถามว่า “ถ้าพวกเราเชื่อพวกท่านแล้วพวกเราควรทำอย่างไร”
        พระพุทธะตอบว่า “พวกท่านไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น นอกจากเชื่อว่าข้าพเจ้าคือพระพุทธะ แล้วพวกท่านจะปลอดภัย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน ก็แค่บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระพุทธะ” แล้วพวกท่านจะอยู่อย่างสันติสุขเอง
      เมื่อเห็นว่าหลายคนยังสงสัย พระพุทธะจึงเอ่ยว่า “ศรัทธานั้นไม่ต้องใช้เงินซื้อ และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดจากพวกท่าน ขอแค่พวกท่านเชื่อว่าข้าพเจ้าเป็นพระพุทธะแห่งยุคผู้สามารถคุ้มครองพวกท่านได้ก็เพียงพอแล้ว ข้าพเจ้าเพียงแค่มอบความมั่นใจให้พวกท่าน พวกท่านควรรับไว้เพราะว่ามันมีค่ามหาศาลและมีพลังที่สามารถคุ้มครองชีวิตพวกท่านได้”

     พอท่านไปที่นั่นเป็นครั้งที่สามและเห็นว่ายังมีคนสงสัยอยู่อีก พวกเขากล่าวว่า “ท่านก็ดูเหมือนพระอาจารย์ทั่วไปในโลกนี้ ทำไมพวกเราจึงควรเชื่อท่านด้วย?”

     พระพุทธะกล่าวว่า “การที่พวกท่านมีศรัทธาเป็นสิ่งที่ดีและไม่ได้ทำร้ายอะไรพวกท่านเลย เพราะว่าหมู่บ้านนี้จะโดนภัยพิบัติคุกคาม และจะทำให้ผู้คนล้มตายจำนวนมาก (มารฝึกฝนการใช้เวทมนต์และดึงพลังจากมนุษย์ทำให้ผู้คนล้มตาย) ถ้าใครเชื่อคำแนะนำของข้าพเจ้า ชีวิตพวกเขาจะปลอดภัย” กล่าวจบท่านก็เดินจากไป

     ไม่กี่วันต่อมา ก็เกิดเหตุการณ์ดังที่พระพุทธะทำนายไว้ มีพายุเฮอริเคนทำลายหมู่บ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สำหรับผู้ที่เชื่อพระพุทธะยังรอดชีวิตและแข็งแรง พวกเขาออกมาดูรอบๆบ้านและเห็นคนเจ็บ คนตายมากมาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าทำไม

     หลังจากนั้น หลายวันต่อมา พระพุทธะกลับมาและเห็นหมู่บ้านถูกทำลาย ผู้ที่ไม่เชื่อพระพุทธะสูญเสียลูกหลานจากภัยพิบัติ แต่ผู้ที่เชื่อพระพุทธะหรือผู้ที่ในครอบครัวมีคนเชื่อพระพุทธะยังคงอยู่อย่างปลอดภัยและมีสันติสุข

     ศรัทธาในพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธะนั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด พวกท่านเพียงแต่เชื่อว่าพระพุทธะสามารถช่วยเหลือพวกท่านได้ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เกิดผล

    ความเชื่อเป็นพลังที่สามารถรักษาโรคได้หลายชนิด เมื่อพวกท่านเชื่อในพระพุทธะแห่งยุค ความลุ่มหลงของพวกท่านจะมลายไปโดยอัตโนมัติ ประตูใจจะเปิดเพื่อรับพลังจากพระพุทธะ ดังนั้นจึงมีคำพูดที่ว่า .... นี่ไม่ใช่เรื่องคาถาอาคมหรือไสยศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น พวกท่านอาจกล่าวได้ว่าพลังมาจากพระพุทธะแห่งยุคหรือจากปัญญาภายใน แต่ไม่ว่าพวกท่านจะยอมรับหรือปฏิเสธความคิดนี้ พลังก็ยังอยู่ภายในตัวท่านโดยธรรมชาติอยู่แล้ว พระอาจารย์มักบอกผู้คนว่าพวกเราควรเชื่อว่ามีพระอาจารย์ผู้รู้แจ้งหรือพระพุทธเจ้าที่สามารถช่วยสรรพสัตว์ได้ – นั่นเป็นเรื่องจริง

     วันนี้พระอาจารย์จะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับพระพุทธรูปให้ฟัง

   วันหนึ่ง พระอาจารย์ไปที่วัดแห่งหนึ่งในอินเดียที่อยู่ริมแม่น้ำคงคา ทัศนียภาพที่นั่นสวยงามมาก สายน้ำเป็นประกายนุ่มนวลไหลลงมาตามสายธาร มองไปไกลๆเป็นเทือกเขาหิมาลัยทอดยาวไม่สิ้นสุดปกคลุมด้วยหิมะสีขาว พระอาจารย์นั่งอยู่ที่นั่น ถือพระพุทธรูปศากยะมุนีซึ่งพระสงฆ์ชาวไทยรูปหนึ่งให้มา รำลึกถึงชีวิตที่ได้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมาเป็นเวลา 20 ปีแต่ยังหาสัจธรรมไม่พบ ต้องพบกับความทุกข์หนักหนาสาหัสในชีวิตอันโหดร้ายและความไม่รู้ของมนุษย์ มาถึงจุดสุดท้ายที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงในการฝ่าฟันอุปสรรค แล้วพระอาจารย์ก็คิดถึงช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการศึกษาบำเพ็ญในฐานะนักบวช และผ่านชีวิตแต่งงานมีครอบครัว มีฐานะ มีชื่อเสียง มีหลายเรื่องราว หลายอารมณ์ความรู้สึกผสมปนเปกัน ทำให้พระอาจารย์รู้สึกท้อ หมดแรงและหดหู่ใจ พระอาจารย์รู้สึกเศร้าอย่างสุดซึ้ง เพราะถึงแม้ว่าพระอาจารย์จะฝึกฝนบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแต่ก็ยังไม่บรรลุมรรคผล รู้แจ้งถึงสัจธรรม ยังรู้สึกเศร้าเสียใจอยู่
พระอาจารย์นั่งบนก้อนหินที่แม่น้ำคงคง ถือพระพุทธรูปไว้ข้างหน้าและคิดว่า “พระพุทธเจ้าศากยะมุนีเป็นพระพุทธะผู้ประเสริฐยิ่ง พระองค์เพียบพร้อมไร้ที่ติ เป็นเจ้าชาย มีแต่ความร่ำรวย รุ่งโรจน์ มีชื่อเสียง แต่พระองค์ยังสละบัลลังค์เพื่อเสาะหาเส้นทางหลุดพ้น และก็ทำได้สำเร็จ แต่ทำไมตัวเราจึงทำไม่ได้ ตัวเราไม่ใช้เจ้าชายหรือมีฐานะสูงส่งอะไรเช่นพระองค์ แต่สำหรับเรื่องเงิน เราก็มีพอใช้ชั่วชีวิต”

     พระอาจารย์ยึดถือพระพุทธรูปเป็นที่พึ่ง มอบความศรัทธาแก่พระพุทธเจ้า พระอาจารย์คร่ำครวญ ต่อว่าตัวเอง และปลอบโยนตัวเอง แล้วอธิษฐานว่า “วันนี้ ข้าพเจ้าขอมอบความศรัทธาทั้งหมดให้แก่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่าถ้าพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิจริง ดำรงอยู่จริงในจักรวาล และในดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกคน แล้วขอพระองค์ช่วยพิสูจน์ให้ข้าพเจ้าเห็น ตอนนี้ข้าพเจ้าจะโยนพระพุทธรูปองค์นี้ลงไปในแม่น้ำ ถ้าศรัทธาแรงกล้าของข้าพเจ้าเป็นจริง ขอให้พระพุทธรูปจงลอยขึ้นบนผิวน้ำและไหลทวนกระแสน้ำมาหาข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะฝึกฝนบำเพ็ญต่อไปจนชีวิตจะหาไม่และจะอุทิศการศึกษาบำเพ็ญของข้าพเจ้าให้แก่มวลมนุษย์ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์หรือทนความเจ็บปวดเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าพระพุทธรูปไม่ลอยขึ้นมา ข้าพเจ้าก็จะจมอยู่ในวังวนของชีวิตมนุษย์ เป็นผู้ที่โง่เขลาด้วยอวิชชาต่อไป

    หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็โยนพระพุทธรูปลงไปในแม่น้ำ พระพุทธรูปก็จมลงไปก้นแม่น้ำทันที พระอาจารย์นั่งเศร้าอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวให้มีความหวังอีกต่อไป ตอนนั้นพระอาจารย์ยังมีจีวรและบาตรในย่ามที่พระอาจารย์ได้เก็บรักษามา 20 ปี พระอาจารย์คิดว่าถ้าพระพุทธรูปไม่ได้ลอยขึ้นมา พระอาจารย์ก็จะโยนของพวกนี้ทิ้งและกลับไปใช้ชีวิตปุถุชน แต่แล้วก็มีเรื่องมหัศจรรย์สุดบรรยายเกิดขึ้น พระอาจารย์เห็นด้วยตาเปล่าว่าพระพุทธรูปโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ สายลมพัดให้พระพุทธรูปหมุนอยู่ในสายน้ำ มีแสงสีขาวเงินเรืองรองคลุมพระพุทธรูปอยู่เหมือนเป็นอัญมณีใสบริสุทธิ์ พระพุทธรูปค่อยๆไหลทวนกระแสน้ำกลับมาหาพระอาจารย์อย่างช้าๆ ตอนนั้นพระอาจารย์รู้สึกประหลาดใจเกินบรรยาย แต่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริงและต้องเชื่อสิ่งที่เห็น และนี่เป็นสิ่งเดียวที่พระอาจารย์เดิมพันด้วยชีวิต

     แล้วพระอาจารย์ก็เก็บพระพุทธรูปขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนมือทั้งสองแล้วหลับตาลงทำสมาธิ ตั้งแต่บัดนั้น ความลับทั้งหมดของจักรวาลต่างเปิดเผยต่อพระอาจารย์ ความโศกเศร้าทั้งปวงในหัวใจของพระอาจารย์สลายไปจนหมดสิ้น จิตของพระอาจารย์ว่างเปล่าเหมือนมีแสงอันนุ่มนวลส่องลงมาไปยังที่ที่ลึกไม่สิ้นสุด ไม่ยึดติดสิ่งใดๆทั้งปวง รู้สึกมีความสุขมาก พระอาจารย์เข้ากรรมฐานทันทีโดยไม่รับประทานอาหาร เพียงแค่ดื่มน้ำจากแม่น้ำคงคาและอาบน้ำเท่านั้น และเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 59 วัน

     พระอาจารย์เคยโหยหาความหลุดพ้นจากความสงสัยในสมอง แต่ทำไม่ได้เพราะว่าศรัทธาไม่พอเพียง ถึงแม้ว่าพระอาจารย์จะเชื่อว่ามีพระพุทธะอยู่ในตัวเราแต่สมองยังสั่งให้ความคิดมารบกวน เมื่อพวกท่านมอบความศรัทธาเต็มร้อยให้กับพระพุทธเจ้า ธรรมชาติแห่งพระพุทธะภายในตัวท่านเองจะแสดงออกมาให้เห็น ซึ่งพวกท่านอาจเรียกว่าการรู้แจ้งหรือกลายเป็นพระพุทธะ เมื่อนั้นพวกท่านจะรู้ว่าภายในตัวมนุษย์เรานั้นมีแสงอันไร้ขอบเขต

     ศรัทธาเป็นพลังแห่งความรัก ความเมตตา ซึ่งจะยกพวกเราขึ้นให้โบยบินเหมือนนกบนท้องฟ้า หรือเหมือนเมฆล่องลอยผ่านภูเขาและนั้นช่วยให้พวกเราลืมความยากลำบากในชีวิตได้

     ประสบการณ์ของพระอาจารย์เองเป็นสิ่งที่มนุษย์ยากที่จะเชื่อ พวกท่านต้องปลดเปลื้องความคิดออกเพื่อให้รู้แจ้งและพบความสว่างไสวภายใน เมื่อนั้นทั่วทั้งจักรวาลจะสรรเสริญท่าน

     สิ่งที่พระอาจารย์ทำได้ พวกท่านก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่พวกท่านต้องการปลดเปลื้องความคิดหรือไม่ ถ้าพวกท่านยังยึดติดกับความคิด พวกท่านจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในการศึกษาบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ

   เหมือนกับเราไม่สามารถเติมน้ำในขวดนี้ได้หากขวดน้ำเต็มแล้ว ถ้าพวกท่านเทน้ำออกครึ่งหนึ่งแล้วเติมน้ำลงไปในขวด น่ำก็จะผสมกันเพราะมีน้ำสองชนิดในขวดนี้ ถ้าความคิดของพวกท่านไม่ว่างเปล่าอย่างแท้จริง พลังบริสุทธิ์จากจักรวาลที่พระพุทธเจ้าส่งมาจะผสมรวมกับความมัวหมองในโลกมนุษย์ พวกท่านต้องปล่อยมลทินทั้งหลายในโลกมนุษย์เพื่อให้ได้รับแสง ความเมตตากรุณาจากพระพุทธเจ้า แล้วพวกท่านจะเห็นความสูงส่งในจิตใจและเห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร พวกท่านอาจโยนทั้งภูเขาลงแม่น้ำคงคา หรืออาจเปลี่ยนภูเขาให้เล็กเท่านิ้วมือของท่านก็ได้

    คนเรามักทำผิดพลาดด้วยการยึดกับอคติที่ทับถมอยู่ในจิตใจ นี่เป็นประสบการณ์ตรงจากพระอาจารย์ไม่ใช่เรื่องนิยายใดๆ พวกท่านจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งผู้ศึกษาบำเพ็ญหลายท่านได้กล่าวไว้ว่า “ทุกสรรพสัตว์ล้วนมีธรรมชาติแห่งพระพุทธะภายใน สวรรค์หรือพระผู้มีพระภาคเจ้าสถิตอยู่ในตัวเราเอง...”

    สิ่งที่พระอาจารย์เล่ามาไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ใดๆแต่มาจากตำราชีวิตของพระอาจารย์เอง พวกท่านใช้ชีวิตปกติเมื่อศึกษาบำเพ็ญ เพราะว่ามนุษย์ยึดติดกับความทะเยอทะยานทำให้เกิดความทุกข์อันทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตที่สงบเหมือนพระอาจารย์ได้ พวกท่านต้องเข้าไปในอาณาจักรแห่งความตายเพื่อค้นหาความสุขที่แท้จริงในชีวิต

     ตอนที่พวกท่านหิว ไม่มีอะไรที่ทำให้พวกท่านมีความสุขไปมากกว่าข้าวจานหนึ่งกับน้ำแก้วหนึ่ง ถ้าพวกท่านต้องการทานอีก พวกท่านต้องรอให้กระเพาะย่อยอาหารเก่าให้หมดก่อนจึงจะทานอาหารใหม่ได้อย่างเอร็ดอร่อย จิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ถ้าพวกท่านต้องการได้รับพระพรแห่งความกรุณาและพลังจากสวรรค์อย่างเต็มที่ พวกท่านต้องล้างความจำที่เศร้าโศกและความคิดลบออกจากสมองไป แล้วพวกท่านจะเพลิดเพลินกับอาหารใหม่ทางจิตวิญญาณอย่างมีความสุขโดยสมบูรณ์ เมื่อพวกท่านหิว กระหายต่ออาหารทางจิตวิญญาณ พวกท่านจะละทิ้งความทุกข์ต่างๆเพื่อการหลุดพ้น

     พวกท่านควรละทิ้งอคติ ความคิดอิจฉาริษยา ดีกว่าละทิ้งเงินทอง นั่นเป็นควาเข้าใจผิด พวกเราไม่ปฏิเสธตัวเอง แต่พวกเราก็ไม่ต้องคาดหวังเช่นกัน ปล่อยให้สิ่งอย่างเข้ามาตามธรรมชาติ นั่นคือวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง

     พวกท่านควรเชื่อพระอาจารย์ของพวกท่านเอง แล้วพวกท่านจะมีทุกอย่าง การรู้แจ้งนั้นทำได้เมื่อพวกท่านมีศรัทธาต่อพระพุทธะของยุคแทนที่จะทำสมาธิอย่างเดียว แล้วพวกท่านจะเห็นความรุ่งโรจน์ ความเมตตาอันใหญ่หลวงที่ทำให้พวกท่านรู้สึกปิติเหมือนธูปในสมาธิ พวกท่านจะเพลิดเพลินกับการว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งความรักของพระพุทธเจ้า

      มนุษย์มักพยายามยึดเหนี่ยวอยู่กับความทุกข์ของตนเองโดยไม่รู้ว่าความรุ่งเรืองพิสุทธิ์นั้นอยู่ข้างหลัง เหมือนที่เหล่านักปราชญ์กล่าวว่า “ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องลึกลับใดๆแต่ทุกอย่างอยู่ตรงนี้” (พระอาจารย์แสดงตำแหน่งตาแห่งปัญญาให้ผู้ฟังดู) สำหรับผู้ที่ตอนนี้ไม่ต้องการปฏิบัติธรรม ยังไม่หิว วันหนึ่งถ้าพวกเขาหิว พวกเขาจะทานทุกอย่างและฟังทุกสิ่ง

     ชีวิตการปฏิบัติธรรมของพวกท่านก็เหมือนกัน พวกท่านรับรู้เพียงเล็กน้อยในสมาธิเป็นเพราะความคิดยังยึดติดกับชีวิตโลกภายนอกและยังไม่ปล่อยวาง เมื่อพวกท่านปล่อยวางหมดแล้ว พวกท่านจะเป็นนายของตัวเอง พวกท่านจะใช้วัตถุสิ่งของก็ต่อเมื่อพวกท่านมี และยอมรับอย่างเต็มใจถึงแม้ว่าไม่มี เพราะว่าความคิดของพวกท่านไม่ยึดติดกับสิ่งใดในโลกมนุษย์แล้ว

     พวกท่านควรเพ่งรวมศูนย์ที่ตาแห่งปัญญาตลอดเวลาและรักษาศรัทธาไว้ในหัวใจ เมื่อกลับไปบ้านแล้วพวกท่านจะมีทุกอย่าง