พระอาจารย์รูมา

 
       พระอาจารย์รูมากำเนิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธเชื้อสายเวียดนาม  ในช่วงประวัติศาสตร์อันน่าเจ็บปวดของประเทศชาติ พ่อแม่ของพระอาจารย์เป็นผู้ใช้แรงงานที่ขยันขันแข็ง ผู้ซึ่งพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรักษาคุณงามความดีของตระกูลและเลี้ยงดูลูกๆให้อยู่ในศีลธรรมในช่วงเวลาอันสับสนวุ่นวายนี้

         คุณตาของพระอาจารย์เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอ และวิธีการดำเนินชีวิตของพระอาจารย์มากที่สุด คุณตาไม่เพียงแต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่รักษาศีลและดำเนินชีวิตตามหลักจริยธรรมทางศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และยังเป็นครูสอนมวยที่มีความสามารถและมีคุณธรรมด้วย คุณตาเป็นผู้สอนให้พระอาจารย์มีความกล้าหาญ มีเมตตาและจิตใจที่โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์ตั้งแต่เล็ก ก่อนจะจากโลกนี้ไป ท่านได้สั่งเสียลูกหลานให้รักษาคุณงามความดีของท่านที่ได้สร้างสมและปกป้องมาตลอด จนบัดนี้ พระอาจารย์ท่านยังไม่ลืมคำสั่งสอนนั้นและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคุณตาในการดำรงชีวิตที่อยู่ในศีลในธรรม รักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเคารพนับถือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
  
             ตั้งแต่ยังเยาว์วัย พระอาจารย์ต้องประสบเหตุการณ์อันน่าเจ็บปวดที่เห็นเพื่อนร่วมชาติถูกสังหารอย่างเลือดเย็นในช่วงสงครามและต้องทนทุกข์อันหนักหนาสาหัสนั้นอย่างไร้ความหวัง ความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ทำให้ท่านเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูด เก็บความรู้สึก แต่คนใกล้ชิด เพื่อนๆ ครูอาจารย์ล้วนแล้วแต่รักใคร่เด็กชายผู้ใจดี รักเพื่อน และชอบช่วยเหลือผู้อื่น

                พระอาจารย์มีเพื่อนสนิทในวัยเด็กคนหนึ่ง คือพี่สาว ซึ่งมีอายุมากกว่าไม่กี่ปี เธอคอยปลอบโยนและให้กำลังใจน้องชายในยามเศร้า และต้องตอบคำถามต่างๆอันน่าปวดหัวของน้องซึ่งหาคำตอบไม่ได้ อันได้แก่: “ผมเป็นใคร?ผมมาจากไหน? มนุษย์เราเกิดมาบนโลกนี้ทำไม? ทำไมคนเราจึงต้องทุกข์ยากเช่นนี้? ทำไมเขาถึงไม่รักกัน? ทำไมคนเกิดมาแล้วต้องตาย? หลังจากตายแล้วจะไปไหน?”คำถามเหล่านี้มันท้าทายเกินไปสำหรับเด็กน้อยที่จะหาคำตอบ

                เมื่ออายุ 12 ปี พระอาจารย์รูมาเดินทางออกจากเวียดนามไปอเมริกาด้วยเรือข้ามมหาสมุทรลำหนึ่ง เรือลำนั้นเป็นลำที่โชคร้าย ท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ เด็กชายกลับต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันของการปล้นสะดม การฆ่าฟันรันแทงอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา เมื่อต้องตกอยู่ในสภาพไม่มีทางหนีออกจากความโหดร้ายทารุณและความหวาดกลัวอย่างสุดแสนจะทนนี้ได้ ผู้รอดชีวิตต่างพากันสวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย พระอาจารย์ท่านสลบไปด้วยความกลัวและแสบคอเพราะหิวน้ำทั้งที่อยู่ในท่าสวดอธิษฐาน ในฝัน ท่านพบพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม สง่างาม มีรัศมีสว่างล้อมรอบ นั่งเมฆมาช่วยปกป้องคุ้มครอง และเอาน้ำทิพย์หยอดใส่ปากให้ท่านทีละหยด เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาท่านยังจำได้ถึงความรักอย่างลึกซึ้งของพระโพธิสัตว์กวนอิม น่าแปลกประหลาด พอเรือเทียบท่าคอที่แห้งก็หายไป ความปิติยินดีไม่ทันจางหาย ความเจ็บปวดหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้กลับเข้ามาแทนที่ พี่สาวผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิท เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตท่านกลับจากไป

                ความเจ็บปวด ความสูญเสียอันใหญ่หลวงนี้ เกินกำลังที่หัวใจดวงน้อยจะรับไหว มันสลักเข้าไปในความทรงจำของท่าน ถึงเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร แต่เมื่อใดที่ภาพนั้นปรากฏขึ้นมา มันยังทำให้ท่านเจ็บแสบในหัวใจ ตั้งแต่วันนั้นมา พระอาจารย์ก็ตั้งปฏิภาณทานมังสวิรัติตลอดชีวิตและมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเสาะหาหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวล

                ขณะที่พระอาจารย์รูมาอาศัยอยู่ที่ประเทศอเมริกาอันมีเสรีภาพ มีความศิวิไลซ์ ท่านได้มีโอกาสร่ำเรียน ได้รับความสุขทางวัตถุและจิตใจทุกประการ ไม่ต่างอะไรจากเด็กคนอื่น แต่การกระทบกระเทือนที่เจ็บปวดสมัยยังเด็กยังคงฝังลึกในจิตใจของท่าน ท่านรู้สึกเปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง ความรู้สึกนั้นได้ปรากฏในบทกวีที่พระอาจารย์นิพนธ์ในช่วงนั้น:

“แม่จ๋า ลูกสงสารคนเวียดนาม
ชีวิตต้องทนทุกข์ตลอดกาล ไม่มีทางออกใด
จบชีวิตในท้องทะเล อันลึกและกว้างใหญ่
ลูกต้องพลัดพรากจากแม่ไป ด้วยความรักและกตัญญู”

                ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมในรัฐ Massachussetพระอาจารย์ได้เขียนบทความและบทกวีหลายชิ้นเกี่ยวกับการทานมังสวิรัติและอุดมการณ์อย่างเช่น “คนเราควรทานมังสวิรัติ” และ “แสวงหาหนทางแห่งเสรีภาพ” ซึ่งเป็นที่สนใจของพวกครูอาจารย์และเพื่อนๆ เพราะว่าพระอาจารย์เป็นคนเวียดนามคนเดียวในโรงเรียน อายุยังน้อยกลับทานมังสวิรัติตลอด มีท่าทีกริยามารยาทดี สุขุม หนักแน่นเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนๆอีก

                ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ พระอาจารย์ชอบไปช่วยวัดแถวๆบ้าน บรรดาครูอาจารย์และเพื่อนๆในโรงเรียนมัธยมที่ท่านเรียนอยู่ รวมทั้งพระสงฆ์และญาติโยมที่วัดต่างก็รักใคร่ชอบพอพระอาจารย์ ด้วยความเป็นคนมุมานะขยันหมั่นเพียร มั่นใจในตนเอง และมีกิริยามารยาทดี ลักษณะนิสัยแตกต่างจากคนอื่น พวกเขาชอบเรียกท่านว่า“พระอาจารย์ใหญ่” แต่แม่ของท่านไม่ชอบให้เรียกแบบนั้น เพราะท่านสังหรณ์ใจว่าสักวันหนึ่ง ลูกจะต้องออกจากอ้อมแขนของแม่ไปตามทางที่หัวใจเรียกร้อง

                วันเวลาล่วงเลยไป ท่านยิ่งเติบใหญ่ขึ้นเท่าไร ท่านยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นเท่านั้นว่า คนเราไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดในโลกใบนี้ ไม่ว่าเลือดในร่างกายเราจะเป็นเชื้อชาติใดเผ่าพันธุ์ใด ก็มีความทุกข์เหมือนกันทั้งนั้น เมื่อพบกับผู้คนต่างชนชั้นในสังคมก็ทำให้ท่านทราบว่า ไม่ใช่มีแต่คนจนเท่านั้นที่ทุกข์ยาก คนที่ร่ำรวยก็สุดแสนจะทุกข์ หาทางออกไม่ได้เช่นกัน จากบทกวีของพระอาจารย์ที่แต่งขึ้นในช่วงนี้ ทำให้เราทราบว่า ถึงแม้ว่าท่านจะผ่านมรสุม ผ่านช่วงเวลาเปล่าเปลี่ยวหมดหวัง หรือประสบกับเหตุการณ์ฆ่าฟันรันแทงอย่างโหดร้ายทารุณก็ตาม แต่น่าแปลกที่ในหัวใจของเด็กชายเจิ่นเติมไม่มีที่ว่างให้กับความโกรธแค้นและเกลียดชังเลย ตรงกันข้าม จิตใจของท่านนั้น เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้โชคร้ายทั้งหลายในชีวิตอันเป็นอนิจจังนี้

                 พระอาจารย์ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ด้วยความรู้ ความสามารถของวัยหนุ่มในขณะนั้น เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยาก ถึงแม้ว่าในชีวิตท่านเองมีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ท่านก็ไม่เลือกงาน ทำอะไรก็ได้ขอแค่สร้างรายได้เสริมเพื่อจะเอาไปแบ่งปันให้กับผู้ที่ตกระกำลำบาก หลังเลิกเรียน ท่านทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่ว่ากลางวันกลางคืน ทำงานตั้งแต่ ปลูกผัก ล้างจาน ทำความสะอาด ดูแลคอกม้าให้ครอบครัวคนรวย รายได้ที่ได้มานี้ท่านนำมาใช้เพื่อการกุศลหรือแบ่งปันให้กับผู้ประสบภัยธรรมชาติ เช่น ในฟิลิปปินส์ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ส่วนที่เหลือจำนวนเล็กน้อยท่านเก็บเอาไว้เพื่อใช้ชีวิตทางธรรม เพราะท่านไม่อยากรบกวนครอบครัว ด้วยความเชื่ออันลึกซึ้งว่าการสละชีวิตทางโลกจะทำให้ท่านสามารถค้นพบสัจธรรมได้โดยเร็วเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์

                พระอาจารย์คุ้นเคยกับสองศาสนาหลักๆ คือ ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก ตั้งแต่เด็กท่านได้มีโอกาสศึกษาคำสอนของทั้งสองศาสนาไปพร้อมๆกัน ท่านจึงเข้าใจว่า ทั้งพระพุทธเจ้าศากยะมุนีหรือพระเยซู ล้วนแล้วแต่รู้แจ้งสัจธรรมอันเดียวกัน และสอนเรื่องเดียวกัน นั่นคือวิธีเสียงและแสง เรียกเชิญวิญญาณของมนุษย์ให้กลับสู่บ้านเดิมของตน กลับสู่สรวงสวรรค์ และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดชั่วนิรันดร

                แต่สัจธรรมอยู่ที่ไหน? ท่านเข้าใจด้วยเชาวน์ปัญญาว่า ความทุกข์ยากไม่ได้นำมาซึ่งการรู้แจ้ง พระธรรมที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ แต่ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ มีแต่พระอาจารย์ที่แท้จริงจึงสามารถชี้ทางสว่างได้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่พระศาสดาทั้งสองได้ทิ้งไว้ในคำสอนของพระองค์

 “เราปรารถนาที่จะเสาะหาพระอาจารย์ผู้จะช่วยให้เราปลดปล่อย
สรรพสัตว์ทั้งปวง!
เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะค้นหาหนทางบำเพ็ญ
หลังจากถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ
เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะมอบความรักทั้งหมดทั้งมวล
เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มา

               ความปรารถนาอันแรงกล้าของพระอาจารย์ที่แสดงออกมาในรูปบทกวีหลายบท เป็นแรงบันดาลใจให้ท่านเดินทางไปภูเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นที่อยู่ของปรมาจารย์ทั้งหลายตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ที่นั่นท่านได้พบพระอาจารย์ชาวอินเดียผู้หนึ่งและได้เรียนรู้ธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียง (การทำสมาธิแบบแสงและเสียงภายใน) หลังจากพยายามเสาะหาด้วยความยากลำบากมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่ท่านได้สัมผัสรับรู้ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผลจากธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงอันศักดิ์สิทธินี้ พระสูตรในพุทธศาสนากล่าวถึงธรรมวิถีนี้ว่าเป็น: “การถ่ายทอดธรรมวิถีด้วยการประทับจิต อันนอกเหนือจากพระธรรมคำสอน” มีแต่ธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ตรัสรู้เข้าถึงสัพพัญญูได้ คำถามที่คั่งคาใจมาตลอดได้พบคำตอบแล้ว:

§   พวกเราทุกคนคือลูกหลานของสวรรค์ ลงมาที่โลกนี้ด้วยความปรารถนาที่จะมีวิญญาณอันดีงามและนำเอาสัจธรรมอันสูงส่งมาสู่มวลมนุษย์
§   เพราะมนุษย์หลงอยู่ในวังวนแห่งมายาชีวิต วิ่งตามหาเงินทอง ลาภยศสรรเสริญและความมั่งคั่ง พวกเขาจึงค่อยๆห่างไกลจากสวรรค์ และลืมธรรมชาติเดิมแท้ของตนไป (ธรรมชาติแห่งพุทธะและจิตประภัสสร) ฉะนั้น พวกเขาจึงต้องประสบกับความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บและพยายามทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ
§   รากเหง้าแห่งความทุกข์ทั้งมวลไม่ใช่อยู่ภายนอกแต่มันอยู่ภายในตัวของเราเอง หากต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ต้องมองเข้าไปภายในเพื่อให้รู้จักตนเอง ธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงเป็นยาชนิดเดียวที่สามารถรักษาโรคร้ายนี้ได้ เป็นสิ่งนำพาวิญญาณของมนุษย์ไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิที่มีแต่ความรัก ความอบอุ่นของสวรรค์และพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์
§   ความรักอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้จะชำระล้างความโลภ ความเกลียดชัง ความเจ็บปวดและความกลัวทั้งปวงให้หมดไป มนุษย์จะอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงจะช่วยชำระให้ทั้งจิตและกายเราสะอาดบริสุทธิ์ และยังทำให้ก้าวหน้าในหนทางบำเพ็ญเพื่อกลับสู่สวรรค์

             ท่านไม่อยากจากพระอาจารย์ของท่านไปแต่ต้องกลับบ้านเพราะตามกฎหมายพลเมืองไม่อนุญาตให้ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะออกจากครอบครัว
ในอเมริกา ท่านกลับมาเรียนต่อจนจบ โดยที่ยังคงฝึกทำสมาธิแบบแสงและเสียงอย่างเงียบๆ ท่านไม่เคยลืมวันเวลาที่ท่านมีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติกับพระอาจารย์ชาวอินเดีย ท่านคอยวันเวลาให้จบการศึกษาเพื่อจะได้ทำตามอุดมการณ์ของตัวเอง

             พออายุครบสิบแปดปี ถึงแม้ว่ามีอุปสรรคมากมาย แต่ท่านก็ได้ตัดสินใจออกบวช พ่อแม่ของท่านไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านจึงสละความสะดวกสบายที่มีอยู่ ครูอาจารย์และเพื่อนสนิทของท่านก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมท่านจึงไม่เรียนต่อ สละอนาคตที่สวยงามที่กำลังรออยู่ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่เข้าใจและเห็นพ้องกับเส้นทางที่ท่านได้เลือก
             พระอาจารย์เดินทางไปทุกหนแห่ง ฟันฝ่าอุปสรรคและความท้าทายนับครั้งไม่ถ้วน ศึกษาหลักคำสอนและร่ำเรียนกับครูบาอาจารย์ที่เปี่ยมความรู้หลายคนทั้งในตะวันตกและเอเชียตะวันออก และยังร่วมกับกลุ่มปฏิบัติธรรมและวิปัสสนากรรมฐานหลายแห่งทั่วโลก ยิ่งศึกษามากขึ้นและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตนเอง ท่านยิ่งได้รับรู้ถึงอานุภาพของธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงภายใน มีแต่ธรรมวิถีนี้เท่านั้นจึงจะช่วยจิตวิญญาณของมวลมนุษย์ชาติให้หลุดพ้นจากโลกแห่งวัตถุ เสาะหาและทำลายรากเหง้าของความทุกข์ทั้งมวลของสรรพสัตว์

              ยิ่งเข้าใกล้แสงสว่างของสัจธรรมมากเท่าใด ท่านยิ่งมุ่งมั่นให้ไปถึงจุดหมาย พร้อมกันนั้นท่านก็พบกับอุปสรรคมากมายในชีวิต ในกลุ่มปฏิบัติธรรมก็มีข้อขัดแย้งกันทางด้านการปฏิบัติและหลักคำสอนทางศาสนา ในหนทางสู่เป้าหมายเพื่อค้นพบสัจธรรม ท่านก็ยิ่งเห็นความไม่เที่ยงของชีวิตมนุษย์ แม้กระทั่งในหมู่สงฆ์ก็มีความขัดแย้งและโต้เถียงกัน มนุษย์ยิ่งห่างไกลจากสัจธรรมไปเรื่อยๆ ตัวท่านเองแค่ปรารถนาสัจธรรมเท่านั้น แต่ยิ่งท่านต้องการปกป้องคุ้มครองพระธรรม ก็ยิ่งพบอุปสรรค ความโดดเดี่ยว และบทเรียนอันเจ็บปวดมากขึ้น สวรรค์กีดกันท่านออกจากอุดมคติในการศึกษาบำเพ็ญธรรม

             ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ ท่านถูกพวกพระสงฆ์ด้วยกันกีดกันไม่ให้พบพระอาจารย์ของท่าน ท่านรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เบื่อหน่าย สิ้นหวัง มองไม่เห็นเส้นทางจะเดินต่อไป ท่านกลับไปอินเดียเพื่อเสาะหาพระอาจารย์องค์เก่า ท่านคิดถึงพระอาจารย์และหวังเป็นที่พึ่งในยามมืดมนนี้ ถึงท่านจะเดินทางไปทั่วอินเดียแต่ก็ไม่พบพระอาจารย์ผู้นั้น เมื่อไม่รู้จะไปไหน ท่านจึงกลับไปภูเขาหิมาลัยเพื่อศึกษาบำเพ็ญหวังว่าจะมีวันได้พบพระอาจารย์อีกครั้ง แต่ความหวังของท่านก็ไม่เคยเป็นจริง พระอาจารย์ของท่านไม่มีวันกลับมาอีก

             หลังจากนั้น ท่านกลับมาที่อเมริกาและสร้างครอบครัว ด้วยธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงภายในอยู่ในมือ ท่านยังคงทำสมาธิต่อไปแบบเงียบๆ ทั้งทำงาน ทั้งดูแลครอบครัว หวังว่าจะพบความสงบสุขในชีวิต  แต่ยังเป็นทุกข์เพราะไม่สามารถทำตามอุดมการณ์อันสูงส่งของตนเอง สัจธรรมยังอยู่ห่างไกล ในช่วงนี้ความกดดัน ท้าทาย จากเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมของท่านยังคงตามมารบกวน  ในที่สุดท่านและครอบครัวจึงตัดสินใจย้ายไปใช้ชีวิตเงียบๆอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา

            หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาขึ้นลงในชีวิต พระอาจารย์ได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าความสุขบนโลกนี้เป็นความสุขจอมปลอม ไม่เที่ยง พระศากยะมุนีพุทธเจ้าก็ได้สละราชสมบัติเพื่อเสาะหาสัจธรรม ทรัพย์สินเงินทองในโลกนี้ไม่สามารถตอบสนองความพอใจให้มนุษย์ได้และไม่สามารถทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตาย ท่านเสียเวลาไปกับการใช้ชีวิตทางโลกอันไร้ประโยชน์ นี่เป็นบทเรียนที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิตการศึกษาบำเพ็ญของท่าน

           ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นและพลังอันเป็นเลิศ ท่านไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวด ความขมขื่นที่ผ่านมา ท่านกลับคืนไปภูเขาหิมาลัยอีกครั้งด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยวต้องเสาะค้นสัจธรรมอันสูงสุดและบรรลุเป้าหมายในชีวิตของท่านให้ได้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิตพระอาจารย์รูมา

            วังวนอันวุ่นวายแห่งชีวิตมนุษย์ไม่สามารถเข้ามารบกวนถึงภูเขาหิมาลัยอันสูงสง่าและมีหิมะปกคลุมตลอดปีแห่งนี้ได้ หลังจากฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ทั้งความท้าทายของธรรมชาติ ต่อสู้กับวันเวลาที่เป็นเสมือนการทดสอบความอดทนของท่าน ในที่สุด สวรรค์ก็เข้าข้างท่าน ตอบสนองความปรารถนาของท่าน ท่านได้พบพระอาจารย์ชาวอินเดียที่มีอายุยืนยาวหลายร้อยปี 5 องค์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในถ้ำลึกอันห่างไกล เพื่อรักษาพระธรรมล้ำค่าแห่งจักรวาลและความรักอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์ มีแต่ผู้ที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะค้นหาพระธรรมที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะมีบุญวาสนาได้พบพวกท่าน พระอาจารย์เข้าใจแล้วว่าอุปสรรค ความลำบากทั้งหลายที่ท่านประสบพบเจอมาในชีวิต มันสืบเนื่องมาจากชะตากรรมของมนุษย์และอวิชชาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งกีดขวางพวกเขาไม่ให้เข้าถึงความรักและสัจธรรมอันสูงส่ง

          มนุษย์เราอธิษฐานขอให้มีความสุข แต่ไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร ไม่รู้ว่าจะได้มาและรักษามันได้อย่างไร พวกเขาสิ้นหวังและลืมธรรมชาติแห่งพระพุทธะภายในตัวเองไป ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ส่งผู้ที่รู้แจ้งมาเพื่อนำสัจธรรมมามอบให้และ ปลุกให้ตื่นรู้ ปลดปล่อยพวกเขาออกจากอวิชชาอันมืดมน

            ด้วยความซาบซึ้งใจต่อความเสียสละที่สูงส่งของมหาอาจารย์ชาวอินเดีย ผู้ที่ไม่ได้คำนึงถึงตนเองแต่มีชีวิตเพื่อความสุขของมวลมนุษยชาติ พระอาจารย์อยู่เรียนรู้กับบรรดามหาอาจารย์เป็นเวลานาน จนได้พบแสงสว่างแห่งสัจธรรมในที่สุด ธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ได้นำพาท่านก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งระยะทาง กาลเวลาและกฎแห่งกรรมไปหลอมรวมเข้ากับความรักอันใหญ่หลวงของพระพุทธะ ยิ่งฝึกฝนทำสมาธิมากเท่าใด ท่านยิ่งได้พบประสบการณ์อันยิ่งใหญ่และยิ่งได้เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมวิถีนี้ ซึ่งเป็นธรรมวิถีที่มหาอาจารย์ทั้งหลายในอดีตได้บำเพ็ญจนก้าวถึงจุดสูงสุดแห่งการตรัสรู้เพื่อชี้นำสรรพสัตว์ไปสู่หนทางหลุดพ้น

            หลังจากบรรลุมรรคผลแห่งสัจธรรมบนภูเขาหิมาลัย พระอาจารย์จึงรู้ว่าความยุ่งยากสับสน อุปสรรคใหญ่หลวงที่ผ่านมาคือการทดสอบของพระผู้เป็นเจ้าได้จัดวางเพื่อเป็นปัจจัยให้จิตวิญญาณท่านเข้มแข็งและเข้าใจชะตากรรมที่ฝังลึกของสรรพสัตว์ ความมืดมนแต่หลายพันชาติของพวกเขาและเข้าใจว่าแสงสว่างแห่งสัจธรรมนั้นสำคัญต่อมวลมนุษยชาติขนาดไหน บรรดามหาอาจารย์ชาวอินเดียได้ฝากความหวังความเชื่อมั่นในตัวท่าน ว่าจะเป็นผู้นำเอาความรักจากสวรรค์ และธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงนี้มาสู่มวลมนุษยชาติ เพราะเป็นหนทางเดียวที่ช่วยให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์และวัฏสงสาร

            หลังจากอำลามหาอาจารย์และรับเอาภาระหน้าที่อันสูงส่งมา พระอาจารย์รูมาได้กลับมาใช้ชีวิตปุถุชน ท่านได้ปรึกษาหารือกับครอบครัว ขอใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างอิสระ แบ่งปันเวลาให้แก่ประเทศชาติ ให้แก่โลกมากขึ้น และสืบต่ออุดมการณ์เผยแผ่ธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงสู่มวลมนุษย์

             ท่านยังคงฝึกฝนบำเพ็ญและใช้ชีวิตอย่างสงบ และยังดูแลครอบครัวอย่างดี นอกจากนี้ ลูกของท่านถือว่าท่านเป็นพ่อแห่งจิตวิญญาณ ลูกๆของท่านยังอายุน้อย แต่ก็เข้าใจภาระหน้าที่ของพ่อ สามารถดูแลตัวเอง ไม่รู้สึกว้าเหว่ ถึงแม้พ่อจะจากไปไกลเป็นเวลานาน

             รายได้ของท่านส่วนหนึ่งท่านแบ่งให้ครอบครัว ส่วนที่เหลือท่านใช้ในการทำบุญ ช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายและในการศึกษาเล่าเรียนของลูกศิษย์ หลังจากการเดินทางเผยแพร่ธรรมะแต่ละครั้ง ท่านกลับประเทศสหรัฐอเมริกาและปฏิบัติธรรมสืบต่อไป

               พระอาจารย์มักกล่าวว่า ท่านก็มีชีวิตเหมือนกับทุกคน ต้องทนกับความยากลำบาก และมรสุมในชีวิตเหมือนคนทั่วไป ท่านเคยล้มลุกคลุกคลาน  รู้สึกท้อแท้ เจ็บปวด ผิดหวัง และมีความรู้สึกเหมือนคนอื่นๆ ท่านได้ผ่านอุปสรรคต่างๆนานา ทั้งในฐานะปุถุชนและนักบวช ฉะนั้น ท่านจึงเข้าใจถึงความกังวลและความรู้สึกต่างๆที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเผชิญในเส้นทางสู่การรู้แจ้งเห็นจริง

               ถึงแม้ว่ามีชีวิตอย่างสมถะ และไม่เปิดเผย แต่ท่านก็ตอบรับคำเชิญจากคนทั่วสารทิศที่ปรารถนาความรัก และเสาะหาวิธีหลุดพ้น พระอาจารย์รูมายินดีแบ่งปันสัจธรรมกับทุกคนที่เข้ามาหาท่าน ไม่ว่าจะมาจากชั้นวรรณะ ระดับการศึกษา ความเชื่อและศาสนาใดก็ตาม

               พระอาจารย์ไม่ก่อตั้งศาสนาใหม่ ไม่แทรกแซงศาสนาใดๆ เพราะทุกๆศาสนามีเป้าหมายเดียวกันคือนำมวลมนุษย์ให้รวมกับวิถีแห่งแสงและเสียงอันศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวาลและช่วยให้วิญญาณของพวกเขาหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ยุติความทุกข์ทั้งปวง พบนิพพานในโลกมนุษย์และกลับสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ หลุดพ้นจากสังสารวัฏชั่วนิรันดร์
                ในอดีต พระอาจารย์ผู้รู้แจ้งผู้หนึ่งจะส่งต่อธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงให้ลูกศิษย์ผู้สามารถฟันฝ่าอุปสรรค ผ่านการทดสอบความทรหดอดทนมาแล้วเท่านั้น แต่ปัจจุบันไม่ว่าใครก็ตามมีจิตใจศรัทธาใฝ่หาธรรมและมีความเชื่อมั่นต่อพระอาจารย์ก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ นี่คือพระกรุณายิ่งใหญ่ที่สวรรค์มอบให้มนุษยชาติในศตวรรษนี้ เจริญตามรอยพระพุทธะของยุคด้วยการทำสมาธิแบบแสงและเสียง พวกเราจะได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตวิญญาณชั่วชีวิตจนกระทั่งพวกเราพบสัจธรรม เหมือนกับดอกบัวที่ส่งกลิ่นหอมและสวยงามถึงแม้จะเกิดในตม แล้วพวกเราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย โลกใบนี้จะไม่มีสงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ มนุษย์จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ไมตรี

               ท่านมักพูดกับลูกศิษย์ของท่านว่า: ท่านภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกหลานชาวเวียดนามและจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อนำแสงสว่างแห่งสัจธรรมและความรักอันยิ่งใหญ่ไพศาลมามอบให้มวลมนุษย์ รวมถึงชาวเวียดนามประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน บทเทศนาเกี่ยวกับธรรมะของพระอาจารย์ได้รับการแปลจากภาษาเวียดนามเป็นหลายภาษาทั่วโลก

                คำสอนของท่านพระอาจารย์รูมาเต็มเปี่ยมด้วยความรักและเข้าอกเข้าใจ ท่านช่วยพวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามให้ค้นพบสิ่งลึกลับที่ซ่อนเร้นของจักรวาลด้วยการฝึกสมาธิแบบแสงและเสียง ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ได้รับมันเป็นเพียงสิ่งน้อยนิด สำหรับสิ่งที่ยังซ่อนเร้นอยู่ภายในของพวกเรา มีแต่การปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาภายใต้การชี้แนะของมหาอาจารย์แห่งยุคปัจจุบันด้วยธรรมวิถีแห่งสมาธิแสงและเสียงเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค้นพบพลังอันไร้ขอบเขตนี้ได้

             ท่านแนะนำให้พวกเราหันมาดูภายในตัวเอง ทดสอบความสามารถมหาศาลนี้ด้วยตัวเอง และรับเอาพลังความรัก ความเมตตาอันไพศาลจากสวรรค์ พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์

                 พระอาจารย์ชี้นำทางพวกเราไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณอันสวยสดงดงาม ซึ่งเป็นจุดกำเนิดดั้งเดิมของวิญญาณเรา ดินแดนที่เราจะถูกโอบอุ้มด้วยรัศมีและเสียงศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ มีแต่ความสุขสมบูรณ์ ไม่มีความทุกข์ ความหวาดกลัวใดๆ เลย
พระอาจารย์ช่วยให้เราบรรลุพุทธภาวะ ช่วยให้เรากลายเป็นพระพุทธะด้วยตนเองด้วยการ:
-          นำความรักอันยิ่งใหญ่ไพศาล ความงามภายใน ความสุขชั่วนิรันดร์ และคุณค่าแห่งสัจธรรม คุณงามความดีและความสวยสดงดงามมามอบให้แก่มวลมนุษยชาติและโลกใบนี้
-          รู้คุณค่าของทุกวินาที ทุกนาทีที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เพราะว่า ความทุกข์และเคราะห์ร้ายทั้งหลายเป็นบทเรียนอันล้ำค่า เป็นปัจจัยให้เราก้าวเดินไปสู่การรู้แจ้ง