เทศนา

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในดวงวิญญาณของเราเสมอ
พระอาจารย์รูมาเทศนา ณ วัดศิริมงคล อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
วันที่ 29 เดือนตุลาคม 2556

    

 ก่อนอื่น อาตมาขอสวัสดีท่านเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ทั้งหลายที่มารวมอยู่ที่นี่ รวมทั้งเหล่าสามเณรที่เป็นอนาคตของพระพุทธศาสนายิ่งใหญ่ของพวกเรา

     อาตมาขอสวัสดีคณะองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ได้สละเวลาอันล้ำค่าของพวกท่านมาอยู่ที่นี่ในวันนี้

     และขอสวัสดีเหล่าสามเณรผู้เป็นอนาคตของพระพุทธศาสนา อาตมารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้มาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับศึกษาปฏิบัติธรรม


     ไม่รู้ว่าพวกท่านยังจำอาตมาได้ไหม? แต่อาตมาจำพวกท่านได้อาตมาให้พวกท่านรอนานไหม? ฉะนั้นรออีกนิดหนึ่งก็ไม่เป็นไรนะพวกท่านลงมาอยู่ที่นี่เวียนว่ายตายเกิดชาติแล้วชาติเล่า รออาตมาอยู่บนโลกนี้นานแล้ว

     เอาละ รออีกนิดหนึ่งก็ไม่เป็นไรใช่ไหม? ถึงแม้ว่าพวกท่านจำอาตมาไม่ได้แต่อาตมาจำพวกท่านได้มันพูดยากเราไม่สามารถอธิบายเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าได้

อาตมาไปที่ไหนก็มีความสุขที่สุดที่เห็นวัดและมีพระสงฆ์มาศึกษาบำเพ็ญมากมาย เพื่อขยายพื้นฐานพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
     อาตมาดีใจที่เห็นพวกท่านอุปถัมภ์พระสงฆ์รุ่นเยาว์เพื่อสร้างพื้นฐานทางจิตวิญญาณของประเทศชาติแก่โลกใบนี้ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราเมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว

     อาตมาก็เหมือนกับพวกท่าน
     แต่อาตมาโชคดีกว่าที่ได้ไปต่างประเทศแต่เยาว์วัยและได้มีโอกาสเดินทางไปอินเดียและมีโอกาสร่ำเรียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาลึกลับของอินเดีย ส่วนพวกท่านได้แต่ศึกษาพระคัมภีร์ที่ได้แปลและสืบต่อร่ำเรียนกันมา แต่ว่านั้นก็ดีมากแล้ว พวกท่านก็โชคดีที่สุดแล้ว เณรน้อยก็โชคดีที่สุดที่มีครูบาอาจารย์สั่งสอนเกี่ยวกับพื้นฐานของพุทธศาสนา

     อาตมาตอนเด็กๆก็เหมือนพวกหนูๆนี่แหละ ได้เห็นผ้าจีวรของพระสงฆ์ก็ดีใจและมีความสุขที่สุดเลย สมัยที่อาตมายังเด็ก ตอนนั้นอยู่เวียดนาม ครอบครัวยากจน และแถวนั้นก็ไม่มีวัดและไม่มีพระสงฆ์เป็นประเทศที่มีสงครามและความวุ่นวายเยอะ  วัดและพระพุทธรูปถูกทำลายด้วยฝีมือของคนที่ขาดศรัทธาและเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ถูกทำลายด้วยสงคราม เพราะฉะนั้นตอนนั้นพระสงฆ์มีน้อยและจะพบพระสงฆ์ได้ยากที่สุด ถึงขนาดว่าบางวัดยังไม่มีพระจำวัดอยู่เลยฉะนั้นพวกหนูโชคดีได้มาวัดและได้รับการศึกษาจากพระสงฆ์ นี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุด และได้อยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์แห่งพระพุทธศาสนายิ่งประเสริฐกว่าอีก


     สิ่งที่มีค่ากว่านั้นคือการได้ร่ำเรียนหนังสือ และได้พระอาวุโสที่สอนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นเวลา 2500 ปี ไม่มีอะไรที่มีค่าเท่ากับพวกเราเป็นพระสงฆ์และได้ส่งเสริม ร่ำเรียนและเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อรับรู้ได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่และความสูงส่งภายในของเรา

     ที่สูงส่งไปกว่านั้นอีกคือพวกเรายังรักษาการดำรงชีวิตของพระสงฆ์ การดำรงชีวิตตามรอยพระธรรมแห่งพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีและสืบสานให้คนรุ่นหลังและทำให้โลกและประเทศเราสวยงามขึ้นได้

     และนำมาซึ่งความสงบสุข ความปลอดภัยบนโลกมนุษย์ ขับไล่เสนียดจัญไรทั้งหลายออกไปจากพวกเรา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลที่กว้างใหญ่ไม่สามารถร่ำเรียนหมดได้ และพวกเรามีสมาธิ นำสมาธิเข้าสู่ลมหายใจ การดำรงชีวิต และจิตวิญญาณของพวกเรา

     การที่ประเทศหนึ่งมีความสงบ ประเทศหนึ่งดำรงชีวิตด้วยสันติภาพ ต้องพึ่งพาบุญบารมีที่ศึกษาบำเพ็ญและบุญกุศลของพระพุทธเจ้าและของจักรวาล  ประเทศมีสันติภาพ ต้องพึ่งพาพลังของพระพุทธเจ้าและพลังของพระพุทธะสิบทิศเพื่อนำความสงบสุขมาให้มวลสรรพสัตว์

     ความคิดของพวกเรามีมากมาย มันยึดอยู่ในชีวิตของคนเราและทำให้สังคมเราไม่มีความสงบสุข
     อาตมาไปที่ไหนก็สนับสนุนวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดที่สนับสนุนเรื่องพุทธศาสนาและสั่งสอนพระสงฆ์ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้สวยงามทำให้โลกของพวกเรา ทำให้ประเทศชาติของพวกท่านกำลังอยู่ในความสงบสุขและปลอดภัยการดำรงชีวิตในแสงพระธรรมสีทองนี้ เป็นการดำรงชีวิตที่งดงามสมบูรณ์แบบ และการดำรงชีวิตที่สงบสุข

     ไม่มีอะไรเทียบเท่าได้กับการที่พวกเราได้ค้นพบปัญญาพุทธะภายในของเรา ไม่มีอะไรเทียบเท่ากับพวกเราได้ค้นพบความสงบสุขภายในของเราเองผ่านการทำสมาธิและการดำรงชีวิตอันสูงส่งของพระพุทธเจ้า

     พระพุทธเจ้าเป็นความเมตตา เป็นพลังหนึ่งเดียว เป็นความโอบอ้อมอารี ความกรุณาที่ได้ประทับอยู่ในใจของเหล่าสรรพสัตว์   พระพุทธเจ้าประทับในจิตวิญญาณของพวกเราตลอดเวลา ตั้งแต่ชาติแล้วชาติเล่าใครๆก็ระลึกได้ รู้แจ้งได้และล้วนเข้าใจ แต่บางครั้งเราก็ลืมมันไป

     เพราะว่าความคิดมันผูกมัดเรา วิพากษ์วิจารณ์ ทำให้แบ่งแยก ฉะนั้นโลกเราจึงมีความวุ่นวาย มีสงคราม หรือความไม่สงบสุข เพราะว่าพวกเราไม่ยอมรับรู้ความเมตตาข้างในของตนเอง ไม่รับรู้พระพุทธะภายในของพวกเรา พวกเราปฏิเสธชีวิตของตนเอง และเราก็ปฏิเสธฐานะและความเมตตาของพระพุทธเจ้า ที่ซ่อนอยู่ในตัวของพวกเราเอง

     เหมือนกับพระไตรปิฎกที่แปลเป็นภาษาไทย มีเรื่องหนึ่ง พระอานนท์ผู้เป็นศิษย์เอกของพระพุทธเจ้า ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ทราบได้และพูดกับพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เข้าสู่นิพพานแล้วพวกข้าพระองค์อยู่ที่นี่ต้องทำอย่างไรและพระสงฆ์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จะต้องทำอย่างไรและจะทำอย่างไรจึงจะเห็นพระองค์?ทำอย่างไรพวกข้าพระองค์จะได้เคารพบูชาพระองค์ในเมื่อพระองค์อยู่บนสวรรค์อันสูงสุด ชั้นนิพพาน?และต่อๆมา คนรุ่นหลังและเหล่าสงฆ์ต้องทำอย่างไร จึงจะรับเมล็ดโพธิ์นี้ แล้วทำอย่างไรจึงจะรับรู้ถึงความเมตตาความสูงส่งของพระองค์และทำอย่างไรจึงจะเห็นพระองค์ได้?”

     เมื่อนั้น จะมีคนปั้นพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าออกมาและพระอานนท์ถามว่า “ถ้ามีแต่พระพุทธรูปแล้วพวกข้าพระองค์จะทำอย่างไรจึงจะนำพระองค์ติดตัวไปทุกที่ได้?”

     พระพุทธเจ้าตอบว่า “พระพุทธรูปก็เพียงพอแล้ว ทุกแห่งหนต่อไปที่ไหนก็มีพระพุทธรูปของเรา มีเท่านั้นก็เห็นเราแล้ว”แล้วพระอานนท์ก็ถามต่อไปอีกว่า “ถ้าพระพุทธรูปมันใหญ่มากแล้วพวกข้าพระองค์ทำอย่างไรจึงจะเอาไปเพื่อเคารพบูชาพระองค์ได้ มีวิธีใดนอกจากวิธีนี้อีกไหม?”

     พระพุทธเจ้าทรงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “เราจะเข้าไปอยู่ในหัวใจของทุกๆสรรพสัตว์ เราจะเข้าไปอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์แต่ละรูป พระสงฆ์รูปใดก็มีภาพของเราแต่นี้ไปเมื่อเราจะปรินิพพาน ชาติแล้วชาติเล่าต่อไป พวกสรรพสัตว์ทั้งหมด ฆราวาสหรือนักบวช เห็นจีวรสีเหลืองปกคลุมตัวพระสงฆ์ ผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมหนึ่งคนก็คือภาพของเราเราประทับอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์ทั้งหมด เราก็ประทับอยู่ในใจของสรรพสัตว์ทั้งหมด”

     เวลานั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับฆราวาสว่า “พวกท่านทั้งหลาย หลังจากเราได้นิพพานแล้ว เราไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ไปนิพพานอะไร เราอยู่ในรูปร่างของลูกศิษย์นักบวชของเรา หลังจากที่พวกท่านเห็นร่างของนักบวชที่แท้จริง แล้วพวกท่านได้เห็นร่างของเรา เราไม่มีวันที่ได้ไปนิพพานนิพพานนั้นคืออยู่ในหัวใจของพวกท่าน เราเข้าไปอยู่ที่นั่นแหละ”

     “ส่วนพระธรรมคำสอนทั้งหมดของเรา แล้วแต่อานนท์จำได้เท่าไรก็บันทึกลงเท่านั้น เป็นบุญวาสนาของมวลมนุษย์ในภายภาคหน้า ส่วนพระธรรมคำสอนที่ไม่มีคำพูด มันไม่มีภาษา สูงส่งล้วนสถิตอยู่ในหัวใจ ล้วนสถิตอยู่ในปัญญานี้ ล้วนสถิตอยู่ในพลังที่สูงส่งภายในของคนเราทุกคน”

     ฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า “49 ปีเราตถาคตไม่ได้พูดอะไรสักคำ และเราไม่ได้เทศนาสักคำเลย พระธรรมของเรา คือรอยพระบาทของเราที่ย่ำไปทั่วเขตแคว้นอินเดียและเนปาลฉะนั้นพระธรรมของเราสถิตอยู่ที่นี่ อยู่ในปัญญาของพวกท่าน”
ฉะนั้น นั่นคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่พระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน หากแต่สถิตอยู่ในใจของสรรพสัตว์ทั้งหมด
แต่ว่าสรรพสัตว์ทั้งหมดบางทีก็ไม่สามารถเสาะค้นหาได้เพราะว่าเราได้แต่ไปเคาะฝาบ้านแต่ไม่ได้เคาะประตู แล้วจะทำอย่างไรจะก้าวสู่สวรรค์ได้


     เราอยากเปิดตาปัญญานี้ อยากเปิดธรรมชาติพระพุทธะภายในของพวกเรา เราต้องเคาะประตูสวรรค์ เราเคาะฝาผนัง แล้วประตูสวรรค์ก็ไม่มีวันเปิดได้

     ฉะนั้น นี่เป็นคำที่อาตมาแบ่งปันให้พวกท่าน เป็นพระธรรมที่เรียบง่ายธรรมดาที่สุดในใจของพวกท่าน ในความใสบริสุทธิ์ ในความพยายาม ความอดทน ความรักเมตตาของพวกท่าน

     ก่อนอาตมาจะมาที่นี่ อาตมาคิดว่าพวกท่านจะวาดภาพคิดว่าอาตมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมารู้ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าสมองของพวกเราคิดเอาเอง มันได้แสดงออกทุกสิ่งทุกอย่าง

     และมันก็จินตนาการออกมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้แหละ มันธรรมดาที่สุด คำสอนก็เรียบง่ายที่สุดบางทีเราใช้ความคิดมากเกินไปและบางทีเราก็รับรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เราลืมไป เราได้แต่ดูข้างนอกไม่ได้หันมาดูภายในของเราเราเชื่อคนอื่นแต่เราไม่เชื่อตัวเราเองส่วนใหญ่พวกท่านเชื่อคนนอกมากกว่าเชื่อมั่นในตนเองพวกท่านรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง เพราะว่าคนอื่นพูดพวกท่านมักจะฟังและเข้าใจที่สุด แต่เวลาตัวเองพูดกลับไม่ฟังตัวเอง

     เพราะว่าความคิดเป็นสิ่งที่ผูกมัด ความคิดเป็นการผูกมัดคนเรานี้ และตีกรอบขังตัวเองมันเป็นสิ่งที่กีดขวางไม่ให้พวกเราเข้าถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เข้าลึกสู่ภายในและความสูงส่งของพระพุทธเจ้า

     ฉะนั้นจึงพูดว่า พระพุทธเจ้าแบ่งกายทิพย์ได้เป็นพันๆหมื่นๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพระองค์ก็ประทับอยู่ในใจของพวกเราได้เพราะว่าเรามีแต่คิดเรื่องทางนอกมากกว่า ใช้สมองมากกว่า พวกท่านจึงแพ้พ่ายในชีวิตเป็นคนนี้ ทำให้พวกท่านจึงเจ็บปวด และต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์นี้ต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง และเรียนแล้วเรียนอีก ไม่หยุดยั้ง เรียนต่อไปเรื่อยๆ เรียนจนแก่เฒ่าแล้วก็ตายแล้วก็เกิดมาเรียนอีกไปเรื่อยๆ

     เพราะว่าพวกเราไม่สามารถหาเส้นทางหลุดพ้นได้ ไม่สามารถเสาะหาปัญญาพุทธะภายในที่พระพุทธเจ้าได้มอบให้เราได้ หาไม่พบพลังสูงส่งที่ประทับอยู่ภายในพวกเราแต่ละคน ไม่มีชะตากรรมใด มาหามวลมนุษย์เราได้ ฉะนั้น เพราะว่าคนเราใช้ความคิดมากเกินไป จึงต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

     วันนี้ จุดประสงค์ของอาตมาที่ให้ลูกศิษย์ของอาตมามาที่วัดของพวกท่าน เพื่อจัดเตรียมให้อาตมามาเยี่ยมเยียนพวกท่านด้วยจิตใจที่เปรียบเสมือนลูกคนหนึ่งของพระพุทธเจ้า การกระทำของพวกท่านเป็นการกระทำที่ประเสริฐที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาตมาไปหลายที่แต่ก็มีหลายที่ที่ไม่ได้เตรียมการได้ดีเช่นนี้

     เอาละอาตมาขอพูดเพียงเท่านี้ วันนี้อาตมามาเยี่ยมเยียนพวกท่าน ก็มีของฝากเล็กๆน้อยๆมาฝากท่านเจ้าอาวาสและเหล่าสามเณรจากใจของอาตมา

     พวกพระสงฆ์มีคุณงามความดีในการสอนหนังสือ อาตมาขอสนับสนุนด้านวัตถุเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นปัจจัยช่วยเหลือเหล่าสามเณรผู้เป็นแสงสว่างในอนาคตของประเทศชาติและสังคม และเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าและเสริมสร้างพื้นฐานพระพุทธศาสนาของพวกเรา

     อาตมารู้ว่าพวกท่านกำลังรอคอยอาตมาพูดอะไรบางอย่าง ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ภายในของพวกท่านเอง การปรากฏตัวของอาตมาเป็นพระธรรมคำสอนที่อยู่ในจิตวิญญาณของพวกท่าน

     พวกเรามีบุญสัมพันธ์ร่วมกันตั้งแต่ชาติแล้วชาติเล่า เพราะว่าพวกท่านลืมไปเท่านั้น แต่อาตมาไม่มีวันลืมได้  พวกท่านอาจคิดว่าอาตมาก็เหมือนพระชาวเวียดนามที่อยู่อเมริกาหรือพระรูปหนึ่งที่มาจากอเมริกา โอเค ไม่เป็นไร อย่างนั้นก็ได้
อาตมาขอขอบคุณท่านเจ้าอาวาสและครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอนเหล่าสามเณรอีกครั้งหนึ่งและขอบคุณที่เสียสละเวลามาฟังอาตมาพูดรวมทั้งคณะองค์กรปกครองท้องถิ่นที่สละเวลามาฟังอาตมา ขอบคุณนะ

คำถาม:

     เรียนพระอาจารย์ ช่วงเวลาที่พระอาจารย์ไปเสาะหาพระธรรม มีเวลาใดที่ท่านรู้สึกโศกเศร้าหรือยุ่งยากลำบากหรือไม่

ตอบ:

     มีสิ แต่อาตมาก็พยายามหาทางก้าวเดินต่อไปตลอด บางครั้งก็แพ้ ทำสมาธินานหลายปีแต่ก็ไม่เห็นรู้แจ้งได้ ถึงจะแพ้แต่เราก็ต้องเดินต่อไปล้มก็ล้มแต่เราต้องลุกยืนขึ้นและก้าวต่อไป ไม่ท้อถอย เจ็บก็เจ็บแต่ก็ยังต้องสู้ต่อไป เศร้าอยู่ ไม่ใช่ไม่เศร้าหัวใจของคน ไม่ใช่ก้อนหิน ทำไมจะไม่เศร้าได้
     อาตมาจะเล่าให้พวกท่านฟังเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง
     มีลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง เป็นนักบวช แต่ละวันก็คอยติดตามอยู่ใกล้ๆพระพุทธองค์“ข้าแต่พระพุทธเจ้า ขอพระองค์ทรงชี้แนะวิธีบำเพ็ญเพื่อให้รู้แจ้งเป็นพระพุทธะได้เร็วที่สุดด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
     “ข้าพเจ้าบวชเรียนมาห้าครั้งแล้ว ในชีวิตรู้สึกเหนื่อยมาก แพ้ตลอด ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้แพ้อีกต่อไป ไปพัวพันกับความรัก แล้วก็สึกเอาจีวรมาคืน แล้วก็แพ้ต่อความรักอีก ข้าพเจ้าเบื่อมากแล้ว มีวิธีใดที่จะทำให้ไม่ต้องเศร้าโศกอีกไหม และให้ข้าพเจ้าเป็นนักบวชที่แท้จริงและศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเข้มแข็งได้ไหม
     พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มี อยากเรียนไหม”
     กศิษย์ตอบว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้า อยากเรียนเจ้าข้า”
     วันต่อมา พระพุทธเจ้าลงไปสรงน้ำในแม่น้ำคงคา พระรูปนั้นก็ลงไปสรงน้ำด้วยกัน แล้วถามต่อ “ข้าแต่พระพุทธเจ้า พระองค์บอกว่าพระองค์จะชี้แนะให้ข้าพเจ้า ไม่ให้แพ้อีก เพื่อให้ข้าพเจ้าก้าวเดิน ตอนนี้พระองค์ชี้แนะได้ไหม” พระพุทธเจ้าไม่ตอบสักคำ พระองค์ว่ายมาใกล้ๆศิษย์ผู้นั้นแล้วจับหัวเขากดลงน้ำ กดตลอดไม่ยอมปล่อย พระรูปนั้นใจจะขาด ทนไม่ไหว ดิ้นรนจนหลุดออกมาได้ แล้วถีบพระพุทธเจ้าเพื่อพ้นผิวน้ำแล้วบอกว่า “พระองค์จะฆ่าข้าพเจ้า”
     พระพุทธเจ้าบอกว่า “เจ้ารู้สึกอย่างไร ตอนนี้เจ้าเป็นปกติหรือยัง ทำอย่างไรเจ้าจึงหลุดออกมาได้ เก่งนะ”
     พระรูปนั้นบอกว่า           “ข้าพเจ้าต้องหาวิธีผลักพระองค์ออก เพื่อให้รอดตาย”
     พระพุทธเจ้าตรัสว่า        “ถูกแล้ว การแพ้ทั้งหมดของเจ้าล้วนมาจากชะตากรรมมันกำลังกดหัวเจ้าลงสู่ทะเลแห่งโลกมนุษย์นี้ ถ้าเจ้าไม่พยายามดิ้นรนเจ้าก็จะจมตายอยู่ที่นั่นถ้าเจ้าดิ้นหลุดออกมาได้ เจ้าก็จะไม่มีวันแพ้ ชีวิตมนุษย์ หรือชีวิตของนักบวชเราก็เหมือนกัน มีเศร้าโศก มีสนุกสนาน มีแพ้ มีชนะในการแพ้ของพวกเราก็ล้วนมีชัยชนะอยู่ที่นั้น”
     ฉะนั้นอาตมาก็มีคติเตือนใจตัวเองเวลาศึกษาบำเพ็ญเหมือนพวกท่านนี้นั่นคือ “เป็นนักบวชเวลาเศร้าห้ามร้องไห้ เป็นนักบวชเวลาร้องไห้ ห้ามเศร้า
     นั่นคือคติเตือนใจตัวเองของอาตมา
     เป็นนักบวชเวลาแพ้ก็ไม่ต้องเศร้าโศกและไม่ต้องร้องไห้ได้แต่ก้าวเดินต่อไปศึกษาปฏิบัติธรรมต่อไปในใจเรามีหัวใจ มีสนุกสนาน มีทุกข์ มีอุปสรรค มีความท้อแท้ สิ่งใดก็ต้องมี ยอมรับมันและเดินตามเส้นทางพระธรรมสีทองของพระพุทธเจ้า

คำถาม:ธรรมวิถีแห่งแสงและเสียงคืออะไร ต้องทำอย่างไร

ตอบ:

     วิธีนี้ไม่ได้ใช้ภาษาพูด นั่นเป็นธรรมวิถีที่ช่วยเปิดปัญญาให้พวกเรา ไม่ถ่ายทอดให้คนภายนอก ไม่ใช้ภาษามาบรรยายแต่พวกท่านจะรับรู้ได้หลังจากอาตมาถ่ายทอดวิถีและเปิดปัญญาให้พวกท่านแล้วพวกท่านจะรับรู้ถึงพลังภายในของตัวเองได้
เวลาอาตมาประทับจิตให้พวกท่าน อาตมาไม่พูดสักคำ บางทีอาตมาก็ไม่อยู่ที่นี่ หรืออยู่อเมริกาหรืออยู่ที่ไหนก็ตามอาตมาก็ส่งพลังประทับจิตให้พวกท่านได้ด้วยพลังภายในเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกท่าน ทำให้สามารถรับรู้ธาตุแท้ของตนเองได้ และสามารถรับรู้พลังอันสูงส่งที่อยู่ข้างในนี้ เชื่อมต่อให้พวกท่านสื่อสารกับสวรรค์ได้ หรือสื่อสารกับธรรมชาติพระพุทธะภายในของตนเองได้

     ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสก็ปฏิบัติตามธรรมวิถีนี้ได้ เราไม่ได้ใช้ภาษาเพื่อบรรยายเป็นคำพูด ตอนที่อาตมาประทับจิตให้พวกท่าน อาตมาก็นั่งเงียบๆ พวกท่านก็นั่งเงียบๆเหมือนกัน ไม่มีใครพูดสักคำ แต่พวกท่านจะรับรู้แสงสว่างภายในของพระพุทธะได้ รับรู้เสียงวิเศษภายในจิตวิญญาณของพวกเราได้
     แล้วแต่ละวันๆพวกท่านนั่งสมาธิยิ่งมากยิ่งดีแล้ว แล้วจะรับรู้ถึงพลังได้มากขึ้นและแต่ละวันพวกท่านจะรับรู้การรู้แจ้งสูงขึ้น มันขึ้นอยู่กับพวกท่านเอง
     มันยากจะบรรยายเป็นภาษาแต่เมื่อพวกท่านได้ประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีแสงและเสียงแล้ว พวกท่านนั่งสมาธิเท่าไรก็ได้ และพวกท่านจะเข้าฌานนานเท่าไรก็ได้ เราไม่ต้องใช้สมองนี้แต่เราจะใช้ปัญญาของเรา ตาที่สามนี้ เมื่อพระอาจารย์เปิดตาปัญญาของเราแล้วเราจะเห็นจักรวาลทั้งหมด

คำถาม:เรียนพระอาจารย์ ทราบว่าพระอาจารย์สามารถสื่อสารกับสวรรค์ได้ ทำอย่างไรจึงจะทำได้

ตอบ:

     ถ้าอยากเรียนอาตมาจะสอนให้ ไม่คิดค่าใช้จ่าย เพราะว่าพวกท่านปฏิเสธตนเอง ไม่เชื่อตนเอง ใครๆก็สามารถเข้าประตูนี้ได้หมดถ้าพวกท่านเคาะประตู จะมีคนมาเปิดประตูให้พวกท่านเข้าพวกท่านไปเคาะฝาผนังคิดว่าเป็นประตู แล้วจะเข้าไปได้อย่างไร?
     เพราะว่าพวกท่านขาดการเชื่อมต่อกับสวรรค์พวกท่านอธิษฐานแต่ละวันให้พระพุทธเจ้ามาหาพวกท่านแต่พวกท่านไม่สามารถเห็นพระองค์ได้เพราะว่าพวกท่านยังยืนอยู่นอกประตู ถ้ามีคนเอากุญแจให้พวกท่านก็จะก้าวเข้ามาได้แล้วพวกท่านจะเห็นความงดงามของพระพุทธเจ้ากุญแจนี้อยู่ในมือของอาตมาที่นำติดตัวมาจากอินเดียมาถึงที่นี่ ไม่ใช่ของอาตมา เป็นของพระพุทธองค์
     ถ้าพวกท่านอยากได้ อาตมาก็พร้อมจะมอบให้พวกท่าน เพราะว่าอาตมา ก็ไม่ได้จ่ายเงิน อาตมาก็ไม่ได้เก็บเงินจากพวกท่าน แต่ธรรมดาแล้วพวกเราทุกคนใครก็สามารถสื่อสารกับพระพุทธะได้หมด
     เพราะว่าพวกเราลืมไปและปฏิเสธมันอีก ฉะนั้นพวกเราจึงขาดการสื่อสารไป เรามีแต่ดูภายนอกไม่ได้ดูภายในตัวเราเองเราเงี่ยหูฟังคนอื่น แต่ไม่ฟังตนเอง เราเชื่อเขา แต่ไม่เชื่อมั่นตนเอง ฉะนั้นพวกท่านต้องเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อว่าเรามีพระพุทธะอยู่ภายใน
     อาตมาทำได้พวกท่านก็ทำได้ อาตมาก็เหมือนพวกท่านนี่แหละ สิ่งใดที่อาตมาทำได้ พวกท่านก็ทำได้
ฉะนั้น อาตมาพร้อมที่จะแบ่งปันกับพวกท่าน เดี๋ยวนี้ยังแข็งแรงอยู่ ต่อไปแก่แล้วทำอย่างนี้ไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ก็เริ่มแก่แล้วละโอเค

คำถาม:เรียนพระอาจารย์ ได้ทราบว่าทุกคนเรามีแสงสว่างแห่งพระพุทธะ แล้วทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงแสงสว่างนั้นได้

ตอบ:

     อยากมาหาแสงสว่างนั้นก็ง่าย อาตมาประทับจิตให้พวกท่านแล้ว พวกท่านก็จะเห็นแสงสว่างได้ในทันที เปิดประตูก้าวเข้าบ้าน กุญแจอยู่ที่นี่เข้าไปข้างใน แล้วเปิดผ้าม่านเท่านั้นก็เห็นแสงสว่างของพระพุทธเจ้าแล้ว


คำถาม:เรียนพระอาจารย์ ได้ทราบว่าพระอาจารย์ร่ำเรียนจากพระอาจารย์ที่อินเดีย ได้เรียนวิชาอะไรบ้าง

     ตอบ:

     หลับตา เงียบ หันสู่ภายในของตนเอง ด้วยพลังสมาธิ ไม่มีคำพูด  เปิดปัญญานี้ โดยไม่ต้องพูดอะไร ปัจจุบันใครๆก็หลับตา เพื่อรอคอย  ใครก็หลับตาทำสมาธิแต่มีแต่หลับตาเพื่อรอคอย ถ้าอยากรู้อีก  อาตมาก็พร้อมจะชี้แนะให้ และประทับจิตแล้วพวกท่านจะรู้แจ้งเอง

    คำถาม:เรียนพระอาจารย์ ได้ทราบว่าพระอาจารย์ไปบำเพ็ญที่  ภูเขาหิมาลัย ที่นั่นหนาวมาก ไม่ทราบว่าท่านใช้วิธีอะไรในการต้าน  ความหนาวนั้น

ตอบ:

     ใช่ มีจริงๆ อาตมาก็อยู่ที่นี่ อาตมาก็มีร่างกายมนุษย์ เวลาขึ้นภูเขาหิมาลัยก็ทนไม่ได้ เพราะว่ามันหนาวมากภูเขาหิมาลัยสูงมาก ความกดอากาศทำให้หูเราอื้อ อยู่ที่นั่นอากาศเบาบาง หายใจลำบาก บางทีก็หนาวเกินไป อุณหภูมิอาจจะต่ำกว่า -10 องศาแต่ว่าเวลานั้นอาตมามีความศรัทธาแรงกล้าและต้องการศึกษาพระธรรมเพื่อมุ่งหวังให้หลุดพ้น รับรู้ปัญญาภายในของตนเอง ฉะนั้นพระครูของอาตมา พวกท่านบำเพ็ญนานแล้ว พวกท่านใช้พลังภายในของท่านช่วยเหลือและสอนวิธีต้านความหนาวนั่น หรือว่าบางทีอาตมานั่งสมาธิในหิมะ แต่ไม่รู้สึกหนาว เพราะพลังภายในของพระครูของอาตมา และใช้วิธีที่พระครูแนะนำให้ร่างกายอุ่นขึ้น
     
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดของเรา นั่นมันไม่ได้เปิดปัญญาของเรา นั่นเป็นเหมือนอภินิหารเท่านั้น อาจทำให้เราร้อนขึ้นด้วยพลังสมาธิของเรา ถึงแม้เราจะนั่งบนหิมะอันเหน็บหนาว ห่มเพียงผ้าจีวรบางๆเท่านั้น แต่เราก็รู้สึกธรรมดา
     นั่นมันไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นพวกท่านไม่ต้องไปเรียนมัน อยู่ในโลกมนุษย์ของพวกเราง่ายที่สุด ถ้าหนาวก็ไปผิงไฟ มีแดดให้เราตากผ้า มีเครื่องซักผ้า มีเครื่องอบผ้า ไม่ต้องฝึกหัดวิธีนี้
เพราะว่าเมื่อก่อนอาตมาอยู่ภูเขาหิมาลัย มันหนาวมาก เสื้อผ้าตากไม่แห้ง ฉะนั้นอาตมาจึงต้องใช้วิธีนั้นจึงทำให้เสื้อผ้าแห้งได้ ส่วนอยู่ที่นี่เรามีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า 3000 บาทก็ซื้อได้แล้ว เพราะฉะนั้นพวกท่านไม่จำเป็นต้องเรียนวิธีนี้โอเค

ถาม:เรียนพระอาจารย์ ช่วยชี้แนะวิธีปฏิบัติที่ได้ผลที่ดีที่สุด

ตอบ:

     เจริญสมาธิเพื่อเปิดปัญญาของเรา เรียกว่าสมาธิแสงและเสียงภายในของเรา พวกท่านอยากให้อาตมาเปิดปัญญาให้พวกท่านแล้วจากนั้นพวกท่านก็ปฏิบัติต่อไปในแต่ละวัน จากนั้นพวกท่านก็ขุดค้นออกมาอาตมาเปิดประตูแล้ว เอากุญแจให้พวกท่านแล้ว พวกท่านก็เข้าไปบ้านตัวเอง แล้วค่อยๆขุดค้นหอพิพิธภัณฑ์ภายในของตัวเอง โอเค
     อีกครั้ง อาตมาขออวยพรให้เหล่าสามเณร ผู้เป็นอนาคตของพระพุทธศาสนา นำสันติสุขมาสู่โลกและประเทศชาติของพวกท่านอาตมาอยากบอกสามเณรว่า พวกหนูโชคดีที่ได้อยู่ในวัดแห่งนี้และได้อยู่ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของเรา
     พวกหนูโชคดีที่ได้มีท่านเจ้าอาวาสคอยสั่งสอนเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นโอกาสให้พวกหนูๆได้สร้างบุญกุศลในชาตินี้และช่วยสังคมปัดเป่าความชั่วร้ายและนำความสงบสุขให้ประเทศชาติ พวกหนูๆโชคดีกว่าอาตมาหลายเท่า อาตมายังไม่ได้มีโอกาสเหมือนพวกหนูเลย อาตมาต้องเรียนภาษาเวียดนามด้วยตัวเอง
     ตอนที่อยู่ประเทศอเมริกาอาตมาได้เรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน แต่ภาษาเวียดนามอาตมาต้องเรียนด้วยตัวเอง หัดอ่านเองและเขียนเองจากคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา
     ฉะนั้นพวกหนูๆโชคดีมาก พวกหนูเป็นอนาคตของประเทศชาติ เป็นอนาคตของประเทศจิตวิญญาณและเป็นประเทศพุทธศาสนา พวกหนูเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เป็นความเมตตาของพระพุทธเจ้า ขอให้พยายามศึกษาเล่าเรียนนะ
ไม่ว่าเมื่อไรอาตมาก็สนับสนุนและช่วยเหลือพวกท่านทั้งด้านจิตวิญญาณและวัตถุสิ่งของ หวังว่าอาตมาจะได้มีโอกาสมาอีกครั้งหนึ่ง

     เอาละ อาตมาขอขอบคุณเหล่าพระสงฆ์และพวกท่านทุกคนที่อดทนฟัง