ช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2557 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยได้มีโอกาสได้รับพรจากสวรรค์ที่ส่งผ่านพระพุทธะที่มีชีวิตปกป้องคุ้มครองประเทศไทย และปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ และวันที่ 12 - 13 ตุลาคม 2557 เป็นช่วงเวลาที่ควรจารึกไว้ว่าเป็น 2 วันที่ชาวลำปางได้มีโอกาสต้อนรับพระพุทธะแห่งยุคเป็นครั้งแรก
ไม่ว่าพระอาจารย์รูมาจะอยู่ประเทศไหน ก็เผื่อแผ่ทั้งบุญบารมีและความรักความเมตตาให้กับคนในประเทศนั้นทั้งทางจิตวิญญาณผ่านการเข้าฌานสมาธิของพระอาจารย์ และทั้งด้วยการไปเยี่ยมผู้ที่ด้อยโชคชะตา ผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับพระอาจารย์เมื่อชาติก่อนๆในประเทศนั้น พระอาจารย์มักให้ความเอาใจใส่กับผู้พิการและคนตาบอด เพราะเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับทุกข์ด้วยร่างกายที่ไม่สมบูรณ์
พระอาจารย์รูมาไปเยี่ยมสมาคมคนพิการจังหวัดอุดรธานี ตุลาคม ปี 2556
หลังจากปี 2556 ที่พระอาจารย์ไปเยี่ยมคนตาบอดที่จังหวัดอุดรธานี ได้มีคนตาบอดจากจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้มาฟังพระอาจารย์เทศนาถึงจังหวัดอุดรธานีได้มีความศรัทธานิมนต์พระอาจารย์ไปเทศนาและเยี่ยมคนตาบอดที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และหลังจากที่พระอาจารย์เดินทางไปเยี่ยมคนตาบอดที่จังหวัดเชียงใหม่แล้ว ก็มีคนตาบอดที่จังหวัดลำปางที่ได้ไปฟังและมีความเลื่อมใสศรัทธา รับรู้ได้ถึงความรักที่แท้จริงที่พระอาจารย์เผื่อแผ่ให้คนตาบอดที่ด้อยโอกาสและโชคชะตา ได้นิมนต์พระอาจารย์ไปเยี่ยมผู้พิการตาบอดที่จังหวัดลำปางด้วย แต่เนื่องจากภารกิจของพระอาจารย์ในหลายประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคนตาบอดที่จังหวัดลำปางจนกระทั่งพระอาจารย์กลับมาประเทศไทยครั้งนี้ พระอาจารย์จึงสั่งให้ลูกศิษย์นัดหมายและจัดเตรียมสิ่งของเพื่อให้พระอาจารย์ไปเยี่ยมและมอบให้คนตาบอดที่จังหวัดลำปาง
พระอาจารย์รูมาไปเยี่ยมสมาคมคนตาบอด จังหวัดอุดรธานี เดือนตุลาคม 2556
พระอาจารย์รูมาไปเยี่ยมเยียนและมอบเงินสนับสนุนให้กับสมาคมคนตาบอด จังหวัดเชียงใหม่ เดือนธันวาคม 2556
วันที่ 12 ตุลาคม 2557 ฝนตกพรำๆแต่เช้า อาจทำให้คนตาบอดเดินทางมายังวัดเจดีย์ซาวหลังอันเป็นสถานที่จัดงานล่าช้าบ้าง แต่ทุกคนก็มาพร้อมหน้าพร้อมตา วันนี้มีคนตาบอดพร้อมญาติ 300 กว่าคนเดินทางมาจากทุกอำเภอในจังหวัดลำปาง คุณเหิน นายกสมาคมคนตาบอดบอกว่า พระอาจารย์รูมาช่างมีบุญบารมีมากเหลือเกิน ปกติฝนไม่ตกมานานแล้วและอากาศร้อนมาก วันนี้พระอาจารย์นำพรและความชุ่มฉ่ำมาให้เมืองลำปาง
ประมาณ 9.30 น. พระอาจารย์รูมาได้มาถึงวัดเจดีย์ซาวหลัง โดยมีชาวบ้าน คนตาบอดจากสมาคมคนตาบอดเมืองลำปางและผู้พิการด้านอื่นๆ และพระสงฆ์ 30 รูปที่วัด พร้อมทั้งลูกศิษย์ของพระอาจารย์จากประเทศไทย ลาว กัมพูชาและเวียดนามเกือบ 500 คนรอรับพระอาจารย์
พระอาจารย์ก้าวเข้ามาที่ศาลาพร้อมกับพนมือทักทายทุกคน พิธีกรกราบนิมนต์พระอาจารย์เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยตามธรรมเนียมของไทย หลังจากนั้น ประธานสมาคมคนตาบอดเมืองลำปางกล่าวต้อนรับพระอาจารย์และรายงานประวัติของสมาคม แล้วก็เป็นเวลาที่ทุกคนรอคอยเมื่อพิธีกรนิมนต์พระอาจารย์ขึ้นเทศนาที่ธรรมาสน์
พระอาจารย์รูมาเป็นประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชารัตนตรัยที่วัดเจดีย์ซาวหลัง จังหวัดลำปาง
พระอาจารย์กล่าวสวัสดีทักทายทุกคน และมองไปยังทุกใบหน้าที่อยู่ในศาลา ความรักความเมตตาแผ่กระจายไปทั่วจากสายตาและรัศมีอันอบอุ่นของพระอาจารย์ที่ใครๆก็รับรู้ได้แม้ว่าจะไม่ใช้ตาเนื้อภายนอกนี้ แล้วกล่าวว่า
“อาตมามาที่นี่เพื่อแบ่งปันกับพวกท่านเกี่ยวกับเรื่องชีวิตมนุษย์และเรื่องกฎแห่งกรรม พวกท่านทั้งหลายเป็นพ่อแม่ของอาตมาเมื่อชาติก่อนๆ ชีวิตคนนั้นอยู่ในทะเลทุกข์ คนเรามีแต่ความมืดมน พวกเราทุกคนต่างมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่รับรู้ถึงการหลุดพ้น มนุษย์มีชีวิตด้วยความไม่รู้เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหาความหลุดพ้นได้ ดังนั้น คนเราจึงมีแต่ความทุกข์
มันเป็นเพราะความรุนแรงและความไม่รู้ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาในชาติก่อนๆและพวกท่านไม่เข้าใจมัน เพราะฉะนั้น ชาตินี้เมื่อพวกท่านเกิดเป็นคน กรรมจึงได้พรากเอาความสามารถในการมองเห็นแสงสว่างบนโลกของท่านไป มันไม่ยอมให้พวกท่านมองเห็นแสงของโลกนี้ พวกท่านไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติที่มีสีสันบนโลกนี้ นี่คือเหตุและผล นี่คือกรรม”
พระอาจารย์รูมาขึ้นนั่งที่ธรรมาสน์และเทศนาเรื่องกฎแห่งกรรม
ใบหน้าของคนตาบอดต่างนิ่งสงบ รับฟังพระอาจารย์เทศนาอย่างตั้งใจ พระอาจารย์รูมาแนะนำพวกเขาว่า
“จงมีความสุขและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อที่หัวใจพวกท่านจะได้สงบและมีสันติภายในจิตใจ ยอมรับชะตากรรมเพื่อชดใช้สิ่งที่ท่านได้ทำไว้และมีความสุขกับสิ่งที่กรรมได้พรากออกจากพวกท่านไป ชาตินี้พวกท่านควรพยายามทำความดีให้มากขึ้นและช่วยเหลือประเทศชาติ อาตมาขอแนะนำให้พวกท่านทำความดีสร้างบุญกุศล เพื่อที่ชาติหน้าถ้าพวกท่านกลับมาใหม่จะได้เป็นคนดีพร้อมสมบูรณ์ขึ้น หรือได้พบหนทางแห่งความรู้แจ้งเหมือนพระพุทธเจ้า ค้นพบความรู้แจ้งเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ของโลกมนุษย์นี้ เพื่อที่เราจะมีชีวิตที่สงบสุขในแดนนิพพาน ไม่ต้องมาเกิดใหม่บนโลกนี้ มาเป็นทุกข์มาลำบากอีก”
ความสงบสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนตาบอดขณะที่พวกเขาได้ฟังเทศนาจากพระอาจารย์รูมา
แม้จะมีผู้ฟังหลายร้อยคน แต่ทุกคนในศาลาต่างนั่งเงียบ นิ่งฟังคำเทศนาจากพระอาจารย์แต่ละคำอย่างตั้งใจ รอคอยฟังพระอาจารย์กล่าวต่อไป
“คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายเหลือคณานับ แม้ว่าจะสอนเป็นพันๆครั้งก็สาธยายได้ไม่หมดซึ่งสัจธรรมเหล่านั้น มีสักกี่คนที่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้? ดังนั้น พวกเขาจึงสร้างความลำบากให้กับชีวิตของเขาเอง และนำเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่เป็นมงคลมาสู่ชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงมาที่นี่เพื่อแบ่งปันกับพวกท่านถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ตรัสรู้โดยสมบูรณ์ ที่เปี่ยมความรักความเมตตาผู้ปรินิพานเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ‘เราเป็นพระพุทธะแล้ว พวกท่านจะเป็นพระพุทธะในอนาคต’ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบถึงธรรมชาติเดิมแท้ภายในของพระองค์ ค้นพบความสงบสุขภายในแต่มนุษย์ยังไม่พบ
ทุกอย่างนั้นอยู่ภายในเรานี่แหละ พระพุทธเจ้าอยู่ภายในเรา สวรรค์อยู่ภายในตัวเรา นิพพานก็มาจากภายในของเราเช่นกัน ทั้งหมดนั้นคือเหตุและผล คือกฎแห่งกรรม แต่ที่พวกท่านมองไม่เห็นเพราะว่ามีม่านแห่งอวิชชาปกคลุมอยู่”
คำพูดแต่ละคำของพระอาจารย์ประทับลงไปในจิตใจของทุกคน พวกเขาจะไม่มีวันลืมวินาทีที่ได้พบพระพุทธะแห่งยุค ได้มีบุญวาสนาฟังเทศนาจากพระพุทธาจารย์รูมา
“นี่คือสาเหตุที่อาตมามาที่นี่เพื่อแบ่งปันกับพวกท่าน ถ้าใครต้องการพบสันติสุข ต้องการพบแสงแห่งสวรรค์ แสงแห่งนิพพาน อาตมาก็ยินดีจะช่วยพวกท่าน
ตอนนี้พวกท่านมองไม่เห็นแสงสว่างในโลกมนุษย์ แต่อาตมาจะให้พวกท่านเห็นแสงสว่างจากสวรรค์และแสงภายในหรือแสงสว่างของพระพุทธเจ้า อาตมาจะมอบความสงบสุขและการหลุดพ้นในชาติเดียวให้กับพวกท่าน เพื่อที่ชีวิตของพวกท่านตอนนี้และในวันหน้าจะดีขึ้น หรือได้หลุดพ้นและกลับสู่โลกแห่งนิพพานและสันติสุข”
“นี่คือสาเหตุที่อาตมามาที่นี่เพื่อแบ่งปันกับพวกท่าน ถ้าใครต้องการพบสันติสุขต้องการพบแสงแห่งสวรรค์ แสงแห่งนิพพานอาตมาก็ยินดีจะช่วยพวกท่าน” พระอาจารย์กล่าว
ใบหน้าของคนตาบอดแจ่มใสขึ้น ความหวังและความสุขใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา วันนี้พวกเขาได้พบทางออกจากห้วงทุกข์แล้ว จากนี้ไปชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้น ด้วยบุญบารมีจากการฟังคำเทศนาจากพระพุทธะที่มีชีวิต พระอาจารย์รูมาได้ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขลงในหัวใจอันเหี่ยวแห้งของพวกเขา จากนี้ไปมันจะผลิดอกบานในหัวใจของพวกเขา
หลังจากพระอาจารย์รูมาเทศนาเสร็จ ท่านได้เดินไปมอบสังฆทานให้กับพระสงฆ์แต่ละรูปด้วยตัวเอง เป็นผ้าไตรจีวร 30 ชุดอันเป็นสัญลักษณ์ของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา หลังจากพระสงฆ์สวดให้พรรับสังฆทานแล้ว พวกเราได้นิมนต์พระสงฆ์ไปฉันเพลมังสวิรัติที่พระอาจารย์รูมาและลูกศิษย์ได้จัดเตรียมมาถวายให้เหล่าพระสงฆ์เนื่องจากได้เวลาฉันเพลพอดี
หลังจบการเทศนา พระอาจารย์รูมาเดินไปถวายสังฆทานให้กับพระสงฆ์แต่ละรูปด้วยตัวเอง
หลังจากนั้น ทุกคนที่เหลือต่างเพลิดเพลินกับรายการต่อไปซึ่งเป็นการร้องเพลงจากลูกศิษย์นักร้องชาวเวียดนามของพระอาจารย์รูมาที่เดินทางมาจากประเทศเวียดนามเพื่อมอบเสียงเพลงเป็นของขวัญให้คนตาบอดในการมาเยือนจังหวัดลำปางของพระอาจารย์รูมาโดยเฉพาะ บทเพลงเหล่านี้เป็นบทเพลงทางจิตวิญญาณ เป็นเพลงที่แต่งจากกลอนของพระอาจารย์รูมาสมัยที่ท่านเดินทางจากบ้านจากครอบครัวไปศึกษาบำเพ็ญที่ประเทศอินเดีย แล้วภายหลังมีลูกศิษย์ของพระอาจารย์ได้นำมาเรียบเรียงดนตรีเป็นบทเพลงอันไพเราะและบรรจุด้วยพลังพร ความรักความเมตตาจากพระอาจารย์
นักร้องชาวเวียดนามมอบเสียงเพลงเป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่งแก่คนตาบอดและทุกคนที่มาร่วมงาน
มีบทเพลงใหม่เพลงหนึ่งที่ลูกศิษย์ของพระอาจารย์ที่ได้ปฏิบัติธรรมตามพระอาจารย์มานานหลายปีแต่งขึ้นแทนใจลูกศิษย์ที่ได้ประทับจิตจากพระอาจารย์ที่สื่อถึงประสบการณ์ภายในของผู้พิการเมื่อได้พบพระอาจารย์ได้เป็นอย่างดี เพลงนั้นมีชื่อว่า “ตามรอยแสงสว่างพระพุทธาจารย์”
“ตัวเราโดดเดี่ยวอยู่บนโลกนี้มองไม่เห็นแสง ไม่ได้ยินเสียง
ชีวิตเต็มไปด้วยความเหงาเศร้าสร้อย
ทำไมเราต้องทุกข์ทรมาน ต้องเจ็บปวด?
แล้ววันหนึ่งพระพุทธาจารย์ได้มาหาเรา
วันนั้นชีวิตของเราก็มีความสุข
พระพุทธาจารย์นำแสงสว่างจากสวรรค์ลบล้างความเจ็บปวดในหัวใจของเรา
จิตวิญญาณเราได้หลอมรวมอยู่ในแสงและเสียงของจักรวาล
ความสุขจากข้างในทำให้เราเข้าใจความเจ็บปวดของโลกมนุษย์
เราไม่เศร้าไม่เหงาอีกต่อไป ทุกวันมีชีวิตอยู่กับความรักจากสวรรค์ที่สถิตอยู่ในตัวเรา”
พระอาจารย์รูมามอบผ้าห่ม 300 ผืนให้กับคนตาบอดเป็นการมอบความอบอุ่นทางร่างกายนอกเหนือจากความอบอุ่นทางจิตวิญญาณที่ท่านได้มอบให้ด้วยน้ำใจและความเมตตาของท่าน
พระอาจารย์รูมานำความอบอุ่นมาให้คนตาบอดทั้งทางวัตถุและจิตวิญญาณ พระอาจารย์และลูกศิษย์ได้มอบผ้าห่ม 300 ผืนแก่คนตาบอด พร้อมกับเงินบริจาค 150,000 บาทสำหรับช่วยสร้างอาคารฝึกอาชีพคนตาบอดและจัดเตรียมอาหารมังสวิรัติให้ทุกคนที่มาในวันนี้ มูลค่าเงินสนับสนุนทั้งหมดในวันนี้เป็นจำนวน 220,000 บาท
แต่ของขวัญที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่าที่สุด ที่พระอาจารย์มอบให้กับพวกเขานั้นคือแสงสว่างจากสวรรค์ หลังการเทศนาพระอาจารย์ประทับจิตให้คนตาบอดและชาวลำปางหลายคน พระอาจารย์มอบแสงสว่างให้ในสมาธิแสงภายใน และคนตาบอดทุกคนต่างได้เห็นแสงสว่างภายในที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชาติที่เกิดเป็นคนนี้
พระอาจารย์รูมาอธิบายว่า “แสงนั้นมาจากปัญญา มาจากสวรรค์ เป็นแสงจากธรรมชาติพระพุทธะภายใน พระอาจารย์สามารถช่วยให้พวกท่านเห็นแสงสว่างได้ แม้ว่าพวกท่านจะตาบอด มองไม่เห็นแสงสว่างบนโลกมนุษย์นี้ พวกท่านบอดที่ตาภายนอกแต่ไม่ใช่ตาปัญญาภายใน พระอาจารย์สามารถช่วยให้พวกท่านเห็นแสงจากสวรรค์ แสงจากธรรมชาติพระพุทธะภายในได้
นั่นคือสาเหตุที่คนตาบอดที่เชียงใหม่ ที่อุดรธานี หลังจากพวกเขารับประทับจิตแล้ว พวกเขานั่งสมาธิแล้วก็เห็นแสงสว่าง แสงนั้นมาจากสวรรค์ แสงนั้นจะล้างกรรมของพวกท่าน จะขจัดความทุกข์ทั้งมวลของพวกท่าน แสงนั้นจะช่วยพวกท่านให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในชาตินี้”
จากนี้ไปคนตาบอดเหล่านี้จะมีชีวิตใหม่ที่สว่างสดใส ด้วยพลังพร บุญบารมีจากพระอาจารย์รูมาที่ได้ชำระล้างกรรมทั้งหลายในอดีตของพวกเขา ชำระดวงวิญญาณของพวกเขาให้กระจ่างใส ไม่มืดมนอีกต่อไป
ก่อนจากไป พระอาจารย์รูมามอบพรจากสรวงสวรรค์ให้กับคนตาบอดและชาวลำปางทุกคนที่มาในวันนี้ พร้อมกับให้พรแก่แผ่นดินไทย
****************
ตอนเช้าของวันที่ 13 ตุลาคม 2557 อากาศแจ่มใส กลุ่มผู้ปฏิบัติสมาธิตามวิถีแห่งแสงและเสียงจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนักร้องชาวเวียดนามต่างเดินทางร่วมกับพระอาจารย์รูมาไปเยี่ยมศูนย์พัฒนาจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ จังหวัดลำปางที่นี่เป็นบ้านพักพิงของคนชรากว่า 90 คนในช่วงบั้นปลายชีวิตในวันนี้มีเด็กกำพร้าจากสถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็กจังหวัดลำปาง 30 คนพร้อมคณะครูและเจ้าหน้าที่มาร่วมต้อนรับและฟังพระอาจารย์เทศนา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนตาบอดที่ได้ไปฟังพระอาจารย์รูมาเทศนาเมื่อวันก่อนหน้านี้ที่วัดเจดีย์ซาวหลังและเกิดความซาบซึ้งผูกพัน ตามมาพบและฟังพระอาจารย์เทศนาอีกครั้งในวันนี้
หลังจากเข้ามายังห้องโถง พระอาจารย์ทักทายทุกคนและเดินไปมอบนมถั่วเหลืองให้กับผู้สูงอายุแต่ละคนด้วยตัวเอง
พระอาจารย์ก้าวเข้ามาที่ห้องโถง หลังจากที่เห็นคนชราทั้งหลายนั่งบนรถเข็นบ้าง นั่งบนเก้าอี้บ้างรอต้อนรับพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็เดินไปหาผู้สูงอายุแต่ละคนพร้อมทักทายอย่างใกล้ชิด
“…สวัสดีทุกคน ขอบคุณที่ท่านให้การต้อนรับอาตมาในวันนี้อาตมามาที่นี่เพื่อมาทักทายพวกท่าน อาตมาไม่รู้จะพูดอะไรได้พบพวกท่านอาตมาก็ดีใจแล้ว ขอบคุณมากที่ต้อนรับอาตมา”
พระอาจารย์ไปหาผู้สูงอายุแต่ละคนด้วยความเมตตาพระอาจารย์จับมือเหี่ยวย่นที่หนาวเหน็บและถ่ายทอดความรักความอบอุ่นให้พวกเขาพระอาจารย์มอบนมถั่วเหลืองให้กับผู้สูงอายุแต่ละคนด้วยมือของท่านเอง พร้อมกับจับมือ พูดคุยกับพวกเขาอย่างอบอุ่นเป็นกันเองบรรยากาศที่หนาวเหน็บ
“อาตมาหวังว่าพวกท่านจะมีชีวิตที่มีความสุข สุขภาพแข็งแรงและเจริญรุ่งเรือง ทุกอย่างที่เข้ามาหาพวกท่านก็มีแต่ความสงบราบรื่น ชีวิตนั้นแสนสั้น อาตมาขอให้พวกท่านมีความสุขในชีวิตและยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาหาพวกท่าน”
พระอาจารย์รูมาพูดคุยกับผู้มาร่วมงานในวันนี้อันได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กกำพร้าจากบ้านฟื้นฟูฯ เจ้าหน้าที่ศูนย์ คนตาบอดที่ได้ติดตามมาฟังเทศนาจากพระอาจารย์อีกครั้ง และประชาชนชาวลำปาง รวมทั้งลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรมจากประเทศในอาเซียน
ผู้สูงอายุแต่ละคนที่อยู่ที่ศูนย์แห่งนี้ มาด้วยสถานการณ์และเหตุผลที่ต่างกันบางคนอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว บางคนเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่เดือนได้เห็นสถานที่และสภาพการจัดการดูแลผู้สูงอายุที่ดีเยี่ยมพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นมืออาชีพ ณ ศูนย์แห่งนี้ พวกเราได้ทราบว่ารัฐบาลไทยได้ให้ความใส่ใจดูแลความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุเป็นอย่างดีผู้สูงอายุที่นี่มีปัจจัยสี่พร้อมสรรพ แต่มีพวกเราทราบว่าสถานที่สวยงามพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ นั้นไม่สามารถทดแทนความเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวของคนชราผู้เป็นไม้ใกล้ฝั่งได้
“พระอาจารย์เข้าใจความรู้สึกของผู้สูงอายุที่อยู่ที่นี่นะ พวกท่านไม่มีความสุขเพราะว่าพวกท่านไม่สามารถค้นพบสัจธรรมของชีวิต ไม่สามารถค้นพบความรักที่อยู่ภายในจิตใจตัวเอง นี่เป็นเพราะกรรมปิดบังเราไว้ ทำให้เราไม่รู้หนทางกลับบ้านสู่พระพุทธเจ้า กลับคืนสู่พลังแห่งความรักความเมตตา กลับสู่สวรรค์ ทำให้เรารู้สึกเหงาหงอย เศร้าสร้อยและทุกข์ใจ
ถ้าพวกท่านอยากให้อาตมาล้างกรรมให้พวกท่าน อาตมาก็จะล้างให้ แต่พวกท่านต้องอนุญาตก่อน ถ้าพวกท่านอยากเรียนทำสมาธิสักเล็กน้อย พระอาจารย์ก็ยินดีสอนให้แล้วพวกท่านจะได้เห็นแสงสว่างจากสวรรค์ แล้วท่านจะมีความสุขกับแสงสว่างในชีวิต”
พระอาจารย์และลูกศิษย์ได้เตรียมสิ่งของมาฝากคนชราและบ้านเด็กกำพร้า อันได้แก่ทีวีจอใหญ่ 4 เครื่องพร้อมจานดาวเทียมและกล่องรับสัญญาณ แพมเพอร์สผู้ใหญ่ น้ำมันพืช นมถั่วเหลืองสำหรับทั้งเด็กและคนชรา
วันนี้ พระอาจารย์และลูกศิษย์ได้เตรียมสิ่งของมาฝากคนชราและบ้านเด็กกำพร้า อันได้แก่ทีวีจอใหญ่ 4 เครื่องพร้อมจานดาวเทียมและกล่องรับสัญญาณสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่บนตึกนอน ไม่สามารถเดินหรือทำกิจกรรมปกติได้ นอกจากนี้ยังมีแพมเพอร์สผู้ใหญ่ น้ำมันพืช นมถั่วเหลืองสำหรับทั้งเด็กและคนชรา
“พระอาจารย์ทราบว่าพวกท่านไม่ได้ขาดแคลนวัตถุสิ่งของภายนอกแต่สิ่งที่เราต้องการหรือขาดหายไปมันเป็นด้านจิตวิญญาณ สันติสุขภายใน เราต้องการความสงบสุข เราต้องการสิ่งที่ดีงามในชีวิตนี้
วัตถุสิ่งของนั้นเราใช้ 1 วัน 2 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปีก็หมดไป แต่สิ่งที่ทุกคนต้องการนั้นคือชีวิตทางจิตวิญญาณ และความสงบสุขภายในจิตใจ ในชีวิตมนุษย์ของเรานั้นขาดการเชื่อมต่อกับพลังแห่งความรักความเมตตาจากสวรรค์ จากพระพุทธเจ้า ทำให้เรารู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างในจิตใจ
แต่ถ้าพวกท่านเชื่อถือพระอาจารย์และอธิษฐานขอให้พระอาจารย์มาช่วย แล้วสิ้นอายุขัยหลังจาก 100 ปีไปแล้วพระอาจารย์จะมาช่วยนำพาพวกท่านให้ไปสวรรค์”
พระอาจารย์บอกว่าท่านมาที่นี่แล้วรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้เห็นผู้สูงอายุจนพูดอะไรไม่ออก จิตอันผ่องใสบริสุทธิ์ของท่านสัมผัสได้ถึงความเหงาและเศร้าสร้อยที่ฝังลึกลงในจิตใจของคนชราที่นี่
“ชีวิตนั้นไม่เที่ยง ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ชีวิตมนุษย์ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ที่นี่นาน 1 วัน 2 ปี หรือ 10 ปีก็เหมือนกัน เมื่อพวกท่านไม่สามารถพบความสงบสุขในจิตใจได้พวกท่านก็ยังคงรู้สึกทุกข์ใจ เหงาและเศร้าใจอยู่ตลอดพวกเราต้องรู้แจ้ง ค้นพบสัจธรรมภายในของเรา เชื่อมต่อกับพลังแห่งความรักความเมตตา พลังของสวรรค์แล้วเราจึงจะมีสันติสุขภายใน”
ถึงแม้ภาษาจะต่างและผู้สูงอายุที่นี่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อร้องแต่ละคำของบทเพลงที่ขับร้อง แต่พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงความรักและความปรารถนาดีที่ถ่ายทอดผ่านบทเพลงอันไพเราะ
นอกจากการมาเยือนของพระอาจารย์ คำเทศนา และของขวัญด้านวัตถุสิ่งของที่พระอาจารย์นำมาฝากแล้ว ลูกศิษย์นักร้องชาวเวียดนามก็ยังมีบทเพลงไพเราะมาฝากทุกคนที่นี่ด้วยเช่นกัน มีบทเพลงเกี่ยวกับความทรงจำถึงแม่ที่พระอาจารย์รูมาได้เขียนขึ้นขณะเดินทางศึกษาบำเพ็ญเสาะหาหนทางหลุดพ้น และคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านเกิดอันเป็นที่รัก ถึงแม้ผู้ฟังอาจไม่เข้าใจความหมายของเพลงแต่ละคำ แต่ท่าทางและเสียงเพลงที่เป็นภาษาสากลนั้นถ่ายทอดความรักต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอย่างชัดเจน จนผู้เฒ่าที่นั่งฟังอยู่สัมผัสได้ถึงความรักความเมตตาที่พระอาจารย์มอบให้ผ่านนักร้องและเสียงเพลงไพเราะนั้น
หลังจากร้องเพลงจบลง นางคะนึงนิจ อารยาท เจ้าหน้าที่จากศูนย์พัฒนาจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ จังหวัดลำปางเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณพระอาจารย์ด้วยความซาบซึ้งจากใจจริง:
“ดิฉันสัมผัสได้ถึงความรักความปรารถนาดีที่พระอาจารย์ส่งมาให้ ดิฉันคิดว่าดิฉันได้อยู่บนสวรรค์แล้วค่ะเพราะมีเทวดามาร้องเพลงซึ่งเพราะมากให้ดิฉันฟังด้วยนะคะ ถึงแม้ว่าจะแปลไม่ออกแต่อยากบอกให้น้องนักร้องได้ทราบว่าดิฉันมีความสุขมากและซาบซึ้งใจมากที่ได้ฟังเพลงในวันนี้”
พระอาจารย์รูมาไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่ไม่สามารถลุกได้แต่ละคนพร้อมมอบพรและความเมตตาแก่ทุกคน
หลังจากนั้นผู้สูงอายุทั้งหลายต่างร่วมกันร้องเพลงขอบคุณพระอาจารย์และคณะศิษย์ ก่อนกลับพระอาจารย์รูมาขึ้นไปเยี่ยมผู้สูงอายุชายหญิง 30 คนที่เดินไม่ได้ นอนอยู่ที่เตียงบนตึกนอนแต่พวกเขาได้ฟังพระอาจารย์เทศนาผ่านเครื่องเสียงที่พ่วงขึ้นไปบนตึก ตอนนี้ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี พระอาจารย์และลูกศิษย์ได้จัดเตรียมอาหารมังสวิรัติมาเลี้ยงทุกคนทั้งเด็กๆ คนชรา เจ้าหน้าที่และผู้ที่มาร่วมงาน มีเจ้าหน้าที่นำอาหารมาให้ผู้สูงอายุที่นอนอยู่บนเตียง พระอาจารย์เดินไปเยี่ยมคุณตาคุณยายแต่ละคนที่เตียง พร้อมตักอาหารป้อนให้ผู้เฒ่าด้วยจิตใจที่อ่อนโยนเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ผู้สูงอายุหลายคนน้ำตาไหล โอบกอดและจับมือพระอาจารย์ไปแนบแก้ม จิตใจที่อ่อนไหวเปราะบาง โหยหาความรักความอบอุ่นของพวกเขาได้สัมผัสกับความรักที่แท้จริงที่พระอาจารย์ส่งมอบให้ อบอุ่นหัวใจอันหนาวยะเยือกให้ละลายลง คนแก่บางคนร้องไห้โฮ พระอาจารย์โอบกอดพวกเขาแล้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ภาพที่น่าประทับใจนี้ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องหลั่งน้ำตาตามอย่างอดไม่ได้
พระอาจารย์ป้อนข้าวป้อนน้ำ มอบความรักให้แก่ผู้สูงอายุที่โหยหาความรักมาเป็นเวลานาน ภาพเหล่านี้เป็นที่น่าประทับใจและสะเทือนใจยิ่งนัก
วันนี้บรรยากาศที่ศูนย์ฯแห่งนี้เปี่ยมด้วยความรักความอบอุ่น ที่ใครๆก็สามารถสัมผัสได้ในหัวใจของแต่ละคน เมื่อถึงเวลาล่ำลา เราสามารถสัมผัสได้ถึงเยื่อใยอาทรจากผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ฯแห่งนี้ที่มีความรู้สึกว่าอยากให้เวลาหยุดลงเพียงเท่านี้ ไม่อยากให้ถึงเวลาที่พระอาจารย์ต้องจากไป ทุกคนส่งสายตาละห้อยหาติดตามหลังพระอาจารย์ก้าวเดินไป พระอาจารย์จากไปแล้ว แต่ท่านได้ปลุกความหวัง ความรัก ความอบอุ่น และความสุขในหัวใจของทุกคนให้ตื่นและเบ่งบาน สำหรับทุกคนที่ได้พบพระอาจารย์ในวันนี้ ไม่มีใครสามารถลืมเลือนวันอันน่าประทับใจนี้ไปได้ ข้าพเจ้าขอเป็นตัวแทนประชาชนชาวไทยขอกราบขอบคุณพระอาจารย์รูมาที่ได้มามอบแสงสว่าง พลังพร ความรักความเมตตาจากสวรรค์สู่แผ่นดินไทยอีกครั้งหนึ่งที่นครลำปาง
ถึงแม้พระอาจารย์จะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่คุณยายผู้นี้ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความรักที่พระอาจารย์มอบ
ให้ผ่านสัมผัสที่อ่อนโยนและสายตาเปี่ยมเมตตาของท่าน